ประชากรกว่า 700 ล้านคน ในภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิกไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้ ถึงแม้ว่าความต้องการด้านไฟฟ้าในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีอัตราเติบโตสูงขึ้นถึง 3 เท่า ภายในปี 2040
แต่ด้วยภัยธรรมชาติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้บรรดาผู้นำโลก และหน่วยงานข้ามชาติ ต่างตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานได้ควบคู่ไปกับการควบคุมผลกระทบร้ายแรงจากสภาพแวดล้อมที่อันตราย ซึ่งกำลังแผ่ขยายไปทุกที่
การปฏิวัติอุตสาหกรรมและการเติบโตอย่างรวดเร็วของสังคมเมือง ก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมอันเนื่องมาจากมลพิษ การตัดไม้ทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของดิน ที่กำลังขยายวงกว้าง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถูกขยายผลให้รุนแรงขึ้น จากการพึ่งพาอาศัยพลังงานเชื้อเพลิงจากฟอสซิล ซึ่งเป็นขุมพลังหลักในการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในบรรดา 19 ประเทศ จาก 25 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศฟิลิปปินส์ และสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ต้องประสบกับภาวะน้ำท่วมชายฝั่ง ผู้คนบาดเจ็บ เสียชีวิต รวมไปถึงการสูญเสียทางเศรษฐกิจ
มีการคาดการณ์ว่า จะมีประชากรจำนวนมากกว่า 5.9 ล้านคน ที่จะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในทุกปีจนถึงปี 2100 ตามรายงานปี 2017 ที่จัดทำขึ้นโดยธนาคารพัฒนาเอเชียหรือ ADB (Asian Development Bank) ทวีปเอเชียจัดเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุด และมีความมุ่งหวังที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรนับหลายล้านคนให้ดีขึ้น องค์กรรัฐบาลในภูมิภาคนี้ ล้วนตระหนักถึงสิ่งที่เป็นปัจจัยต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ พร้อมกับได้แสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองที่จริงจังมากขึ้น ในการนำวิธีการรับมือกลับมาพิจารณาใหม่ ด้วยการกำหนดกรอบนโยบายด้านพลังงานที่ปลอดภัยยิ่งกว่าเดิมให้มีความยั่งยืนมากขึ้น นอกเหนือจากการใช้พลังงานหมุนเวียนจากแหล่งพลังงานสะอาดที่ลดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม
ส่งเสริมชุมชน
มีส่วนร่วมพลังงานหมุนเวียน
ทอมมี่ เหลียง ประธานบริษัท ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกและญี่ปุ่น กล่าวว่า ปัจจุบันเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ทั้งองค์กรและหน่วยงานต่างๆ ของนานาประเทศ จะต้องช่วยกันเร่งกระบวนการพัฒนาไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ด้วยแหล่งพลังงานหมุนเวียน ซึ่งนับเป็นเวลาหลายปีที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีส่วนร่วมและนำเสนอความเชี่ยวชาญในเรื่องของความยั่งยืน ตามปณิธานที่ต้องการช่วยให้ผู้คนเข้าถึงพลังงานสะอาด ปลอดภัย และเชื่อถือได้ ความมุ่งมั่นนี้มาพร้อมกับจุดยืนที่แตกต่างในการช่วยเหลือผู้ที่อยู่อาศัยในถิ่นทุรกันดาร ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และยังขาดแคลนพลังงาน
“นอกจากการมอบโซลูชันพลังงานที่สะอาดและยั่งยืนให้กับชุมชมแล้ว เราเชื่อในเรื่องของการส่งเสริมให้ชุมชนได้มีส่วนร่วม พร้อมสนับสนุนความคิดที่ว่า 'ความมุ่งมั่นพยายามที่ดีงาม ต้องอาศัยความสามารถที่แข็งแกร่ง' ของคนในท้องถิ่น เพื่อดูแลจัดการโซลูชันในการเข้าถึงการบริการด้านพลังงาน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นที่อยู่ห่างไกล โดย ADB พบว่าการประสบความสำเร็จที่ผ่านมาส่วนใหญ่ มักจะมีจุดร่วมที่เหมือนกัน คือ 'การตอบสนองจากชุมชนในทางบวก ต่อระบบพลังงานหมุนเวียน' ด้วยอัตราการจ่ายเงินคืนในระดับที่สูงมาก ซึ่งผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่นหรือผู้นำหมู่บ้านจะต้องดูแล และจัดการเทคโนโลยีเหล่านี้ให้ได้ด้วยตัวเอง”
หนึ่งในความสำเร็จ คือโครงการที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากภาครัฐบาลของประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยในปี 2016 ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ทำงานร่วมกับคณะกรรมการด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียน (Directorate General of Renewable Energy and Energy Conservation หรือ EBTKE) รวมถึงพันธมิตรอื่นๆ ของรัฐบาล เพื่อมอบไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100 เปอร์เซ็นต์ ที่มีระบบสำรองไฟไว้ในแบตเตอรี่และพลังงานแสงอาทิตย์แบบออฟกริดที่ไม่ต้องใช้ไฟจากการไฟฟ้าฯ ให้กับหมู่บ้าน 250 แห่ง มีประชากร 37,500 ครัวเรือน นอกจากจะช่วยให้พวกเขาไม่ต้องพึ่งพาพลังงานดีเซล ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษในระดับสูง ยังช่วยให้ผู้คนเหล่านี้เข้าถึงพลังงานได้ตลอดเวลา พร้อมกับควบคุมค่าใช้จ่ายไดh
นอกจากนี้ ชไนเดอร์ฯ ได้มอบกระแสไฟฟ้าให้กับ 12,500 หลังคาเรือนในหมู่บ้าน 100 แห่งในประเทศกัมพูชา ผ่านระบบโซลาร์โฮม รวมถึงอีกกว่า 1,000 หลังคาเรือนในหมู่บ้าน 5 แห่งในประเทศเมียนมาร์ ผ่านไมโครกริด เพราะในภูมิภาคนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายลักษณะเดียวกันในการเข้าถึงพลังงาน การตอบสนองด้านพลังงาน ในแง่ของการใช้และปัจจัยการผลิต ล้วนมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาค ดังนั้น ในส่วนของโซลูชันจึงจำเป็นต้องปรับให้สอดคล้องกับภูมิภาคที่แตกต่างกัน ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม
ชักชวนเยาวชน
เพื่อโลกที่พร้อมสำหรับอนาคต
เนื่องจากมีการกำหนดความต้องการด้านพลังงานและประชากรในภูมิภาคนี้มีเพิ่มมากขึ้น จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงประสิทธิภาพของโซลูชัน และผลกระทบที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงในระยะยาว นอกเหนือจากการพัฒนาต่อเนื่องในเรื่องของเทคโนโลยีและนวัตกรรมแล้ว เยาวชนในปัจจุบันยังนับเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดในโลก ที่ช่วยให้นำไปสู่เส้นทางสีเขียวและอนาคตที่ยั่งยืนได้อย่างรวดเร็ว
เพื่อต่อยอดการริเริ่มในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย มูลนิธิชไนเดอร์ (Schneider Foundation) พร้อมด้วยบริษัท ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ร่วมมือกับกระทรวงการศึกษาและวัฒนธรรมของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Kemendikbud RI) และ กระทรวงการศึกษาแห่งชาติของฝรั่งเศส (MENES) ปรับปรุงคุณภาพและทักษะความสามารถของผู้เชี่ยวชาญด้านไฟฟ้าในประเทศ โดยมูลนิธิชไนเดอร์ได้ให้เงินสนับสนุน ความร่วมมือดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน คือการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนในระดับอินเตอร์เนชันแนล รวมถึงเพื่อตอบสนองความต้องการอื่นๆ อีกทั้งช่วยเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนชาวอินโดนีเซียกว่า 1,500 คน ก้าวไปสู่การทำงานในวิชาชีพไฟฟ้าในทุกปี ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นไป ในการริเริ่มเหล่านี้ ชไนเดอร์ฯ คาดหวังที่จะเห็นความสำเร็จ และการใช้พลังงานหมุนเวียนที่จะคงอยู่ตลอดไป รวมถึงการเป็นชุมชนที่แข็งแกร่ง และการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน ทั้งเรื่องแรงงาน การวางแผน และการตัดสินใจ