ปัจจุบันพัฒนาการของตลาดรถไฟฟ้าในระดับโลกอย่างอเมริกา ได้ขยับจากรถยนต์ประหยัดคันเล็กๆ ที่เรียกว่าซิตี้คาร์ไปสู่รถโดยสารขนาด 40 ฟุต (Electric bus) แนวโน้มที่น่าจับตา รถบัสไฟฟ้าเริ่มมีผู้ประกอบการรายใหญ่ เข้ามาเป็นผู้เล่นในระดับผู้นำตลาดหลายรายแล้ว
เป้าหมายแรกของรถโดยสารไฟฟ้าในสหรัฐฯ คือ การรับ-ส่งนักท่องเที่ยวไปสู่จุดหมายหลายทางที่เป็นงานใหญ่ๆ เช่นงาน Sundance Film Festival จัดที่สกี้รีสอร์ตในปาร์ค ซิตี้ รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา โดยรถโดยสารไฟฟ้าเป็นรถที่เมืองนี้ได้เช่าแบตเตอรี่จากเงินกองทุนดำเนินงานของรัฐ ซึ่งอยู่ในลักษณะเดียวกับที่เคยใช้ในการซื้อน้ำมันดีเซลเติมรถโดยสาร ซึ่งเป็นโมเดลเดิมของรถโดยสารทั่วไปนั่นเอง
การริเริ่มก่อตั้งกองทุนให้เงินไปเช่าแบตเตอรี่ที่ว่า มีความสำคัญต่อการเกิดหรือดับของรถโดยสารไฟฟ้า เพราะเป็นส่วนของต้นทุนแปรผันสำคัญที่สุดในการใช้รถโดยสารรูปแบบใหม่นี้ เพื่อลดความเสี่ยงของเมืองในการขาดแคลนพลังงานจากแบตเตอรี่ ซึ่งโมเดลการลิสซิ่งที่ว่านี้ยังมีส่วนสำคัญที่ปรับลดต้นทุนแปรผันในการวิ่งรถโดยสาร ในภาวะที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มขาขึ้น
การสร้างกองทุนสนับสนุนรถโดยสารไฟฟ้า ทำให้ปัญหาทางการเงินของการจัดหาพลังงานสำหรับรถโดยสารไฟฟ้าหมดสิ้นไปเป็นปลิดทิ้ง และยังเป็นทางรอดของการหันมาใช้พลังงานทดแทนอื่น รวมทั้งพลังงานโซลาร์ที่ยังเป็นเพียงตลาดนิชมาร์เก็ตด้วย และอาจจะทำให้ครัวเรือนเข้าไปขอเงินจากกองทุนนี้ปรับเปลี่ยนพลังงานหลักที่ใช้ภายในบ้านที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาลด้วย แม้ว่าในระยะหลังๆ จะมีการออกรูปแบบเงินกู้มาสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นแล้วก็ตาม
ปาร์ค ซิตี้ ไม่ได้เป็นเพียงจุดเดียวที่หันมาสนับสนุนพลังงานทางเลือกที่แผ้วถางหนทางไปสู่รถโดยสารไฟฟ้า เมื่อ2-3 เดือนก่อนหน้านี้ ในนิวยอร์ก กิจการรถโดยสาร MTA ที่บริหารจัดการรถโดยสารใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจเช่าซื้อรถโดยสารไฟฟ้าของ Proterra อีก 5 คัน ทั้งในส่วนของแบตเตอรี่และตัวรถโดยสารไฟฟ้าด้วย ในระยะเวลา 3 ปี
ขณะที่บริษัท Big APPLE ก็เป็นผู้ประกอบการอีกรายหนึ่ง ที่เริ่มใช้การดำเนินงานด้วยพลังงานนี้ในโปรแกรมนำร่องของตน และหากได้ผลตอบรับดีและคุ้มค่าก็คงขยายการลงทุนออกไปเป็นการใช้รถโดยสารไฟฟ้าขนานใหญ่ต่อไปในอนาคต
ตามรายงานของ Bloomberg New Energy Finance รถโดยสารไฟฟ้าที่ออกมาใหม่ในระยะหลังๆ นี้ โชคดีที่มีทางเลือกของการสนับสนุนทางการเงินมาช่วย ทำให้เกิดการลงทุนจริงและเป็นที่รู้จักกันได้อย่างรวดเร็ว ทั้งในเมืองหลักและเมืองรอง เพราะทำให้มีความสามารถในการปรับมาใช้รถโดยสารไฟฟ้ากันมากขึ้น ด้วยการสนับสนุนกำลังเงินจากกองทุนเหล่านี้ จนมีจำนวนรถโดยสารไฟฟ้าวิ่งอยู่บนถนนในสหรัฐฯทั้งหมดหลายร้อยคันแล้ว รวมทั้งในซีแอตเติล ลอสแองเจลิส ซานฟรานซิสโก ที่มีเป้าหมายสู่กรีนซิตี้ตามเป้าหมายหลักของเมืองในอนาคต
อย่างไรก็ดี ในเมืองรองที่มีข้อจำกัดของงบประมาณและกองทุนสนับสนุนให้มีการลงทุนในลักษณะดังกล่าวในครั้งเดียว หรือไม่ได้รับสิทธิให้เข้าถึงเงินช่วยเหลือจากรัฐให้จัดซื้อรถโดยสารไฟฟ้าได้เร็วขึ้นกว่าปกติ ก็ยังมีอยู่จำนวนไม่น้อย และยังรอการสนับสนุนอย่างทั่วถึงต่อไป
ด้านของผู้ประกอบการอย่าง Proterra มีความมั่นใจและออกมาแสดงเป้าหมายว่าจะทำการพัฒนาโมเดลการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าของตนให้มีความก้าวหน้ามากขึ้น และจะทำให้รูปแบบของระบบการเดินทางแบบสาธารณะในอนาคตเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง และคาดหวังว่าในอนาคตจะสามารถป้อนรถโดยสารไฟฟ้าให้กับผู้ที่ต้องการใช้ได้ทุกราย โดยผู้ซื้อจ่ายเพียงค่าแบตเตอรี่ตลอดอายุการใช้งานเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้น จะมีกิจการที่รับซื้อแบตเตอรี่ไปทั้งล็อต และให้หน่วยงานรัฐมาเช่าแบตเตอรี่ไปใช้อีกทอดหนึ่ง เพราะแบตเตอรี่ของรถโดยสารไฟฟ้ามีอายุการใช้งานนานหลายปี อย่างน้อย 6-10 ปีทีเดียว และสามารถทำการชาร์จซ้ำผ่านอุปกรณ์ได้ และยังมีมูลค่าซ้ำเมื่อหมดอายุอีกด้วย
Bloomberg New Energy Finance พยากรณ์ว่าในอนาคตโมเดลธุรกิจแบบนี้ ตลาดต้องการให้มีบุคคลที่สามเข้ามาในตลาดรถโดยสารไฟฟ้า ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินและทางเลือกในการลิสซิ่งแก่ผู้ประกอบการรถโดยสารไฟฟ้าของเมืองและกิจการนิติบุคคลที่มีบริการรถรับ-ส่งพนักงาน ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ยังต้องใช้เวลาและไม่ได้เกิดขึ้นภายในชั่วข้ามคืน
ในขณะนี้ ยังถือว่าตลาดรถโดยสารไฟฟ้าในสหรัฐฯ ยังเป็นระยะเริ่มต้นหรือบุกเบิกจากรถโดยสารไฟฟ้า 70,000 คัน ที่วิ่งให้บริการในเมือง มีเพียงรถโดยสารไฟฟ้าแค่ 300 คัน เท่านั้น ในปี 2017 ที่ผ่านมา หรือคิดเป็นสัดส่วนที่ต่ำกว่า 1% ของจำนวนรถโดยสารทั้งหมดในเมือง
จึงมีการคาดหมายจาก Bloomberg New Energy Finance ว่า ในปี 2025 รถโดยสารไฟฟ้าจะมีอัตราการเติบโตราว 34% หรือทำให้รถโดยสารไฟฟ้าคิดเป็น 5% ของรถโดยสารทั้งหมด ยกเว้นจะมีการตั้งกองทุนหรือแหล่งเงินพิเศษสนับสนุนต่างหาก ในทุกเมืองทั้งเมืองหลักและเมืองรอง ในการลิสซิงแบตเตอรี่ทุกก้อนที่ใช้กับรถโดยสารไฟฟ้า และถือเป็นบริการปกติเหมือนการให้บริการน้ำมันรถโดยสารไฟฟ้าปัจจุบัน
ที่ผ่านมาและในอนาคต ด้านความต้องการนั้นไม่ใช่ปัญหาของการเติบโตของตลาดรถโดยสารไฟฟ้า หากแต่กลับเป็นข้อจำกัดในด้านของผู้ประกอบการผลิตมากกว่า ทำให้รถโดยสารไฟฟ้าออกสู่ตลาดได้น้อยเหมือนจำนวนการผลิตเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ในปัจจุบัน และการผลิตยังจำกัดอยู่ในสหรัฐฯเป็นตลาดหลัก ซึ่งในอนาคตคงจะมีตลาดจีนที่ก้าวขึ้นมาแข่งขันกับสหรัฐฯในการใช้รถโดยสารไฟฟ้า
ซึ่งช่วงที่ผ่านมา ตลาดรถโดยสารไฟฟ้าในจีนเติบโตราว 210% ก็มาจากการอุดหนุนจากรัฐเป็นสำคัญ เพราะรัฐต้องการให้มลภาวะทางอากาศในจีนลดลง จนทำให้มีรถโดยสารไฟฟ้าในจีนรวมกันราว 400,000 คัน ในปี 2017 พร้อมคาดว่าในปี 2025 จะมีรถโดยสารไฟฟ้าวิ่งให้บริการราว 1.2 ล้านคัน และทำให้จีนเป็นตลาดหลักในสัดส่วน 95% ของตลาดรถโดยสารไฟฟ้าทั้งหมดในโลก