xs
xsm
sm
md
lg

80ปีบัญชีจุฬาฯ!! “ดร.ประสาร”แนะพัฒนาเศรษฐกิจไทยยั่งยืน ภาครัฐต้องปรับ 3 เรื่อง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในโอกาสครบรอบ 80 ปีของการสถาปนาคณะพาณิชยศาสตร์ และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ปฏิวัติธุรกิจ ปฏิรูปการศึกษา Business Transformation through Flagship Education” โดย ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ศาสตราภิชานกองทุนเพื่อการบริหารวิชาการและการศึกษาของคณะฯ และดำรงตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย 
 
กล่าวถึงเศรษฐกิจโลกที่มีการขยายตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2562 จะมีการขยายตัวถึงร้อยละ 3.9 ซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวตาม แต่อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตที่ยั่งยืน ภาครัฐยังต้องให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างพื้นฐานใน 3 เรื่อง คือ 1.การพัฒนาคน 2.การลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ และ3.ความล้าสมัยของโครงสร้างสถาบันทางเศรษฐกิจ

"ที่ผ่านมา แผนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ความสำคัญกับเรื่องของการพัฒนาเชิงปริมาณมากกว่าการพัฒนาในเชิงคุณภาพ ทำให้เศรษฐกิจไทยโดยรวมมีปัญหาในเชิงโครงสร้างซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะภายใต้การพยามยามขับเคลื่อนประเทศของภาครัฐและเอกชน กลับเดินหน้าได้ช้ากว่าที่คาด และมีอาการไม่ต่างอะไรกับการเป็นอัมพาตทางเศรษฐกิจ ซึ่งต้องรีบเร่งรักษาเสียแต่เนิ่นๆ"

“ทศวรรษก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง เราเคยเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 9 ต่อปี แต่ระยะหลังเราโตเฉลี่ยแค่ร้อยละ 4 นั่นเพราะผลประโยชน์จากการพัฒนายังไม่กระจายไปสู่ประชาชนกลุ่มต่างๆ อย่างทั่วถึง ประเทศไทยติดอยู่ในกลุ่มที่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำระดับต้นๆ ของโลก เป็นความเหลื่อมล้ำทั้งในด้านเศรษฐกิจและการศึกษา ทำให้คุณภาพการศึกษาต่ำลง ซึ่งส่งผลเป็นลูกโซ่ต่อผลิตภาพคนไทย และศักยภาพทางเศรษฐกิจให้ต่ำลงตาม ในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยช่วงนี้ แม้จะเป็นสัญญาณที่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้วถือเป็นการขยายตัวตามวัฎจักรเศรษฐกิจ ไม่ได้มาจากศักยภาพทางการแข่งขันที่แท้จริงของไทย”

“ดังนั้น ภาครัฐและเอกชนควรมองไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เพื่อพยายามแก้ปัญหาโครงสร้างดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกอันเกิดจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ที่ทำให้โครงสร้างสถาบันทางเศรษฐกิจที่เคยออกแบบไว้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อหลายสิบปีก่อน กลายเป็นความล้าสมัยที่ไม่สามารถตอบโจทย์ประเทศ และปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ ซึ่งถือเป็นมิติที่มีความสำคัญ เพราะภาครัฐเป็นผู้กำหนดนโยบาย กฎหมาย กฎเกณฑ์ และกติกา ซึ่งจะมีผลต่อการสร้างแรงจูงใจ และระบบนิเวศ ที่เอื้อให้เศรษฐกิจสามารถพัฒนาได้เต็มศักยภาพ”

“3 เรื่องหลักที่เราควรทำพร้อมกันนับจากนี้คือ หนึ่ง เรื่องของคุณภาพคน ต้องเน้นการเพิ่มทักษะความสามารถของคนทำงานทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร หรือแรงงาน และคนทำงานในด้านอื่นๆ ทำให้คนของเรามีความรู้ ในเชิงของความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ซึ่งจะยกระดับความสามารถของภาคธุรกิจไทย สอง เราต้องปรับโครงสร้างพื้นฐานการศึกษา เพื่อให้เด็กไทยทุกคนไม่พลาดโอกาสในการเติบโตขึ้นมาเป็นคนระดับคุณภาพของประเทศ ขณะเดียวกัน เรื่องที่สาม โครงสร้างพื้นฐานด้านสถาบันต่างๆ ซึ่งอดีตได้ออกแบบไว้ดีและใช้ได้ดีในอดีต แต่ปัจจุบันต้องปรับปรุงให้เข้ากับบริบทในยุคที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น การวางทิศทางนโยบายประเทศ หรือการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ หากทำทั้งสามอย่างนี้ได้ดี ก็จะทำให้การเติบโตของไทยเป็นไปอย่างมีศักยภาพ”



พร้อมกันนี้ยังกล่าวย้ำในตอนท้ายว่า การปฏิรูปการศึกษาไม่เพียงเป็นช่องทางยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของประเทศเท่านั้น แต่ยังมีนัยถึงการปลดล๊อคศักยภาพลูกหลานไทยให้สามารถเดินหน้าได้เต็มศักยภาพ และเป็นความหวังของประเทศได้อย่างเต็มภาคภูมิ เป็นการช่วยลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ โดยในการปฏิรูปการศึกษาจะต้องดำเนินการใน 4 มิติพร้อมกันคือ 1.การสร้างความเท่าเทียมด้านการศึกษา 2.การสร้างคุณภาพไม่ใช่เน้นแค่ปริมาณ 3.การปฏิรูปการศึกษาให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และ4.บทบาทของมหาวิทยาลัยในการสร้างองค์ความรู้ นวัตกรรม และการนำความรู้ไปพัฒนาสังคม


กำลังโหลดความคิดเห็น