xs
xsm
sm
md
lg

ถอดรหัส sustainable development กับเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ความคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เป็นพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่สามารถดึงความสนใจของนานาชาติได้ และได้ถูกกล่าวขานถึงในการประชุมนานาชาติเรื่องสันติ ที่ยูเนสโก นครปารีส เมื่อกันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เป็นพระกุศโลบายชั้นบรมครูที่จะทำให้ project ต่างๆ เป็นเรื่องจริงที่ปฏิบัติได้โดยทุกคน ถ้าเข้าใจถูกต้องตามพระราชดำริ ก็เป็นหลักการที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ เพื่อผลสำเร็จของชีวิต แต่ถ้าไม่เข้าใจพระราชดำริ ก็จะมีคำถามขึ้นในใจว่าสิ่งที่เรียกว่า เศรษฐกิจพอเพียง มีจริงด้วยหรือ เพราะว่า คำๆนี้ ถ้าไม่เข้าใจแล้ว ก็จะกลายเป็นคำที่ขัดแย้งในตัวของมันเอง เพราะโดยความเข้าใจของคนทั่วไป คำว่า เศรษฐกิจ ย่อมหมายถึงความโลภ อยากได้ เป็นเรื่องของเงิน ๆ ทอง ๆ แถมเรื่องอย่างนี้ โดยธรรมชาติแล้ว ไม่มีคำว่า พอเพียง ถ้าพอเพียงเมื่อไร ก็จะไม่เป็นเศรษฐกิจทันที ปุถุชนทุกคนล้วนอยากร่ำอยากรวยมีเงินมีทองกันทั้งสิ้น ในโลกของความจริงของคนมักมีกิเลส ถือว่าเป็นธรรมชาติของคนปกติ
ความพอเพียงหาใช่เป็นธรรมชาติของระบบเศรษฐกิจไม่ เศรษฐกิจที่ดีคือกราฟต้องสูงขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเส้นกราฟคงที่หรือดิ่งลงแสดงว่า ระบบเศรษฐกิจมีปัญหา จะต้องรีบทำการแก้ไขก่อนที่จะลามไปก่อปัญหากับระบบอื่นๆ หรือชีวิตส่วนอื่นๆ
เพราะฉะนั้น พระราชดำริเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง หาได้เป็นอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจไม่ การจะทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ต้องพิจารณาพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บรมนาถบพิตร มาประกอบ
กล่าวคือ พระองค์มีพระปรีชาสามารถด้านภาษาศาสตร์ โดยเฉพาะรากศัพท์ของภาษาบาลี สันสกฤต และอังกฤษ เมื่อพิจารณาตามรากศัพท์แล้ว จะเห็นได้ว่า เศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์นั้น หาใช่อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจไม่ ถ้าเราจำได้ กราฟิกที่คุ้นตาพวกเราของเศรษฐกิจพอเพียงก็คือ วงกลมสามวงซ้อนกันเป็นสามเหลี่ยม ที่เขียนไว้ในแต่ละวงกลมว่า พอประมาณ มีภูมิคุ้มกัน และมีเหตุผล และได้ยินพระราชดำรัสที่ทรงคอยอธิบายว่า เศรษฐกิจพอเพียงเป็นทางสายกลาง ความจริงพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่แท้จริงก็คือ หลักพุทธธรรมว่าด้วย หลักมัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลางของพระพุทธองค์นั่นเอง หลักมัชฌิมาปฏิปทา ก็คือหลักมรรคมีองค์แปด โดยย่อก็คือ หลักไตรสิกขา ประกอบด้วยการศึกษา ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง
เมื่อนำเสนอเป็นหลักมัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งเป็นภาษาพระ พอเราได้ยินเราก็โยงไปที่ความเชื่อ หรือความศักดิ์สิทธิ์ทันที กลายเป็นพิธีกรรมไป การศึกษาศีล สมาธิ ปัญญา กลายเป็นพิธีรับศีล พิธีนั่งสมาธิ ด้วยการหลับหูหลับตา และการเล่าเรียนเป็นปัญญาไป หลักมัชฌิมาปฏิปทากลายเป็นเรื่องศาสนา กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ฟังไปก็เข้าหูขวาทะลุไปทางหูซ้าย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บรมนาถบพิตร ทรงเข้าพระทัยอย่างแจ่มแจ้งในเรื่องนี้ดี พระองค์จึงได้นำเสนอหัวใจพระพุทธศาสนาในแนวที่ทุกคนนำไปปฏิบัติได้ ประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เกี่ยวกับศาสนาก็สามารถนำมาใช้ได้ นี้คือพระอัจฉริยภาพของความเป็นบรมครูของพระองค์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บรมนาถบพิตร ทรงเปลี่ยนจากการใช้คำว่า อริยมรรค ซึ่งเป็นภาษาพระ ที่แปลว่า มรรคอันประเสริฐ เป็นทางอันประเสริฐ คำว่า ประเสริฐ ในภาษาไทย ก็คือคำว่า เสฏฺฐ (บาลี) หรือ เศรษฐ (สันสกฤต) ฉะนั้น เมื่อเราใช้คำว่า เศรษฐี ในภาษาไทย ตามรากภาษาจริง ๆ แล้วแปลว่า คนที่มีคุณธรรม มิใช่แปลว่าคนมีเงิน อย่างที่เราเข้าใจกันเป็นส่วนใหญ่ ทางธรรม “หัวใจเศรษฐี” ก็คือ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ประโยชน์ในปัจจุบัน ๔ อย่างนั่นเอง เพราะฉะนั้น คำว่า เศรษฐกิจ จริง ๆ ตามรากภาษาแปลว่า กิจอันประเสริฐ เป็นส่วนคุณธรรมของคนทุกคน ไม่ใช่เป็นกิจเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ อย่างที่คนทั่วไปมักเข้าใจ
ความจริงคำพระราชทานว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” ก็คือการตีความพุทธภาษิตให้เข้ากับภาษาสมัยใหม่ ตามที่มีพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “สันตุฏฐี ปะระมัง ธะนัง” แปลว่า “ความพอเพียงเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง” ทรัพย์ในที่นี้ หาใช่เป็นเงินทองอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจไม่ แต่เป็นอริยทรัพย์ คือทรัพย์อันประเสริฐ เพราะฉะนั้น เศรษฐกิจพอเพียง ก็คือการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บรมนาถบพิตร ทรงตีความพุทธภาษิตที่ว่า “ความพอเพียงเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง” เป็นภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายและปฏิบัติได้ง่ายว่า เศรษฐกิจพอเพียง นั่นเอง
นับเป็นพระอัจฉริยภาพที่หาได้ยากยิ่ง ดังนั้นพวกเราผู้ซึ่งเป็นพสกนิกรของพระองค์ ต้องปรับความเข้าใจในพระราชดำรัส เศรษฐกิจพอเพียง เสียใหม่ จะได้ปฏิบัติตามพระราชประสงค์ได้
สรุปง่ายๆ ก็คือ เป็นการปฏิบัติตามหลักไตรสิกขานั่นเอง เมื่อถอดรหัสพระราชดำรินี้ได้แล้ว ก็จะเห็นได้ชัดว่า หลักการว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักการที่ทุกคนน้อมนำไปปฏิบัติได้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่ว่าในเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าในเรื่องของธุรกิจ ไม่ว่าในเรื่องของการเมือง ไม่ว่าในเรื่องของความรักใคร่ ไม่ว่าในเรื่องของการศึกษา เป็นต้น กล่าวคือ ในทุกเรื่องให้รู้จักจุดที่เรียกว่าสมเหตุสมผลนั่นเอง

เศรษฐกิจพอเพียง หรือ sufficiency economy ในภาษาสากลโลกก็คือ สิ่งที่สหประชาชาติประกาศให้โลกเราบรรลุเป้าหมายภายใน ค.ศ. ๒๐๓๐ นั่นเอง นั่นคือ Sustainable Developments Goals หรือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่บังเอิญการที่เราแปลคำว่า Sustainable Development ว่าเป็น การพัฒนาที่ยั่งยืน ในแง่ภาษาอาจเป็นคำที่ขัดแย้งในตัวของมันเองเหมือนคำว่า เศรษฐกิจพอเพียง นั่นเอง เพราะว่า คำว่าพัฒนาในเนื้อหาสาระก็คือ การเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่นิ่งอยู่กับที่โดยไม่เปลี่ยนแปลง แต่คำหลังว่า ยั่งยืน สื่อความหมายว่าตลอดกาล หรือไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น คำว่า การพัฒนาที่ยั่งยืน นั้นด้านภาษาไม่ทราบว่าจะทำความเข้าใจอย่างไรดี จะเปลี่ยน หรือว่าจะไม่เปลี่ยน หรือควรตีความว่า มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเป็นนิจ แต่ทั้งนี้มูลนิธิในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บรมนาถบพิตร เกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืน ปรากฏใช้ชื่อว่า มูลนิธิมั่นพัฒนา แทน ซึ่งเป็นคำแปลที่ตรงกับภาษาอังกฤษมากกว่าคำว่า การพัฒนาที่ยั่งยืน คำว่า มั่นพัฒนา ย่อมหมายถึงการพัฒนาที่มั่นคง หรือ การพัฒนาที่มั่นเพราะมีฐานรองรับ เป็นการพัฒนาที่ไม่มีผลเสียข้างเคียง ให้เห็นปรากฏ
เมื่อทำการถอดรหัสของคำว่า sustainable development ให้ถูกต้อง จะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องเดียวกันกับพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง คำว่า sustain ในภาษาอังกฤษ มีรากมาจากภาษาลาติน ซึ่งเป็นเป็นการรวมของคำสองคำ คือ sus ที่เป็นอุปสรรค กับ tenere ที่เป็นคำหลัก sus ในภาษาลาตินแปลว่า from below หรือมีฐาน ส่วน tenere แปลว่า to hold หรือถือ ฉะนั้น sustain ตามรากภาษาแปลว่า เป็นการถือหรือครองบนฐานที่มั่น แต่ที่สำคัญก็คือว่า รากศัพท์ tenere ในภาษาลาตินนั้น เป็นรากศัพท์เดียวกันกับ ธรฺ ธาตุในภาษาบาลีหรือสันสกฤต ซึ่งแปลว่า ทรงไว้ ฉะนั้น คำว่า sustain ที่แปลว่า ทรงไว้บนฐานที่มั่น ก็คือ คำว่า ธรรมะ ที่แปลว่าอาการของการทรงไว้นั่นเอง
ความจริงผู้ที่สอนเรื่อง “การพัฒนาที่ยั่งยืน” หรือ มั่นพัฒนา หรือ เศรษฐกิจพอเพียง บุคคลแรกในโลกก็คือพระพุทธเจ้าของเรานั่นเอง คำสอนนั่นก็คือ ธัมมจักกปวัตตนสูตร ธรรมจักร เมื่อว่าตามรากภาษา ก็คือ sustainable development “ธรรม” แปลว่า ทรงไว้ ส่วน “จักร” ในภาษาบาลีมีความหมายว่า ไปข้างหน้าโดยบดไปกับพื้นดิน หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นการพัฒนาที่ทรงไว้บนพื้นฐานที่มั่นคง แต่ตามหลักพุทธธรรม sustainable development หรือ ธรรมจักร หาใช่เป็นเพียงปรัชญาหรืออุดมคติไม่ แต่ต้องเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติ คือต้อง ปวัตตนะ ที่แปลว่าปฏิบัติ ซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำไทยว่า ประพฤติ เพราะฉะนั้น ถ้าจะแปล ธัมมจักก ปวัตตนสูตร ในความหมายของการพัฒนาประเทศก็คือ พระสูตรที่ว่าด้วยการประพฤติที่มั่นพัฒนานั่นเอง
หัวใจของธัมมจักกปวัตตนสูตร ก็คือหลักมัชฌิมาปฏิปทา หรือ ทางสายกลาง ย่อเข้าไว้อยู่ในหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานในหลักการของ เศรษฐกิจพอเพียง ส่วนสหประชาชาติใช้คำว่า sustainable development goals นั่นเอง แต่โดยเนื้อหาและการปฏิบัติก็คือ การพัฒนาชีวิตและจิตใจในหลักไตรสิกขานั่นเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น