xs
xsm
sm
md
lg

ปัญหาโรงไฟฟ้าจากขยะและโรงไฟฟ้าชีวมวล ที่ทำให้คนไทยไม่ยอมรับ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ป้าย “คนในช่อง ไม่เอาโรงไฟฟ้าขยะ” ตามจุดต่างๆ ในชุมชน เนื่องจากชาวบ้านกลุ่มรักษ์บ้านในช่อง ตำบลทับปริก อำเภอเมืองกระบี่ กังวลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของคนในชุมชน เนื่องจาก สถานที่ก่อสร้าง โครงการโรงไฟฟ้าขยะ ตั้งอยู่ภายในศูนย์กำจัดมูลฝอยแบบฝังกลบเทศบาลเมืองกระบี่ ซึ่งอยู่ใกล้กับชุมชน สถานศึกษา วัด (เมื่อ 15 ก.พ. 2561)
ความจริง ปัญหาขยะกองโตเป็นภูเขาจนกำจัดไม่หมด จริงๆ แล้วการกำจัดขยะไม่ยากหรอกครับ นั่นคือ การสร้างโรงไฟฟ้าจากการเผาขยะ โดยให้เลียนแบบจากโรงไฟฟ้าพลังงานขยะของญี่ปุ่น ที่เขาทำได้ครบวงจร และแทบไม่เกิดมลพิษเลย
แต่ไฉน โรงไฟฟ้าแบบนี้กลับไม่ค่อยเกิดขึ้นง่ายๆ ในประเทศไทย?
หรือแม้กระทั่งโรงไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล ที่เกิดจากการเผาเศษวัชพืช เศษขยะจากการเกษตร เช่น ฟาง แกลบ ชานอ้อย กาบปาล์ม และวัสดุเหลือใช้แล้วต้องทิ้งทางการเกษตรอื่นๆ อีกมากมาย
แล้วทำไม โรงไฟฟ้าชีวมวล จึงไม่ค่อยเกิดขึ้นในเมืองไทยง่ายๆ เช่นกัน?
ขยะที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ เมื่อไปถึงเตาเผาขยะ ส่วนใหญ่ก็เผาทิ้งไปเฉยๆ โดยไม่ได้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าเลย เสียพลังงานจากการเผาไปเปล่าประโยชน์
บริเวณสนามหน้าที่ว่าการอำเภอหนองบัว จ.นครสวรรค์ ประชาชนในพื้นที่จำนวนมาก รวมตัวกันประท้วงขอให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องยุติการดำเนินการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว (เมื่อ 20 พ.ย. 2560)
แล้วพอ กทม.จะทำเป็นโรงไฟฟ้าจากพลังงานเผาขยะแบบเดียวกับที่ญี่ปุ่นใช้ ก็จะมีกลุ่มชาวบ้านออกมาคัดค้านไม่เห็นด้วย เพราะเกรงมลภาวะเป็นพิษในชุมชน
แต่ในขณะที่ปล่อยให้มีกองขยะใหญ่เท่าภูเขาที่ทั้งเหม็น และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สะสมเชื้อโรค แถมวันดีคืนดีกองขยะก็เกิดลุกไหม้ติดไฟเองจนเป็นข่าวบ่อยครั้ง นั่นยิ่งสร้างมลภาวะอันตรายยิ่งกว่า
แต่คนไทยกลับยอมให้มีกองขยะเท่าภูเขาได้มากกว่าจะยอมให้มีโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ
คิดดูถ้า กทม.มีโรงไฟฟ้าจากขยะแบบที่ญี่ปุ่น เราจะได้ทั้งไฟฟ้า ได้ทั้งกำจัดขยะ ได้ทั้งผงคาร์บอนหรือขี้เถ้าที่ได้จากการเผาขยะ แล้วนำขี้เถ้าเหล่านี้เอาไปถมทะเลกรุงเทพฯ ด้านบางขุนเทียนที่กำลังถูกน้ำทะเลรุกคืบกัดเซาะได้เป็นอย่างดี เพราะที่ญี่ปุ่นเขาเอาผงคาร์บอนไปสร้างแผ่นดินให้งอกทุกปีเช่นกัน
นั่นก็เท่ากับว่า แค่มีโรงไฟฟ้าจากการเผาขยะ ก็จะได้ช่วยคืนแผ่นดินให้กรุงเทพฯ ด้วย คิดดูสิว่ามันจะดีขนาดไหน?
หรือแม้แต่ในหลายจังหวัด ที่จะมีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล เพื่อจะได้นำเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาผลิตไฟฟ้า ย่อมดีกว่าให้ชาวบ้านเผาทิ้งกันเองจนเกิดมลภาวะเป็นพิษทางอากาศแบบควบคุมไม่ได้ แบบที่เราเห็นเป็นข่าวเป็นประจำนั้น
แล้วสาเหตุที่โรงไฟฟ้าทั้ง 2 แบบล้วนก็เกิดขึ้นได้ยาก สาเหตุทั้งหมดมาจากอะไรรู้ไหมครับ?
เพราะชาวบ้านเขาไม่ไว้ใจข้าราชการ ไม่ไว้ใจรัฐบาล รวมทั้งไม่ไว้ใจนักลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า จนมันเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกลงในสังคมไทยมานานแล้ว
สาเหตุก็เพราะ ข้าราชการไทยยังคอร์รัปชัน แล้วไปร่วมมือกับนักลงทุนที่ไม่จริงใจต่อประชาชนและประเทศชาติ
เพราะที่ผ่านมา ต่างก็บอกกันว่าจะสร้างโรงงานที่ไม่ก่อมลภาวะเป็นพิษ หรือบอกว่าจะสร้างโรงงานที่ทันสมัยที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
แต่สุดท้าย ชาวบ้านก็มักจะโดนหลอกเหมือนเดิมซ้ำๆ ทำให้พอรัฐบาลคิดจะสร้างโรงไฟฟ้า หรือโรงกำจัดขยะเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใดก็ตาม ก็มักเกิดกระแสต่อต้านจากชาวบ้านในพื้นที่อยู่เสมอ
ชาวบ้านดอนผอุง ม.5 ต.คูเมือง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี กว่า 100 คน ถือป้ายออกมาคัดค้านการอนุมัติให้มีการก่อสร้างโรงงานไฟฟ้าพลังงานขยะ ที่กำลังจะมีขึ้นในเขตของบ้านดอนผอุง (เมื่อวันที่ 2 ก.พ.2561)
แต่เรื่องราวทำนองนี้กลับไม่มีเกิดขึ้นกับประเทศญี่ปุ่นเลย นั่นเพราะข้าราชการญี่ปุ่นเขาไม่คอรัปชัน นักลงทุนเขาก็ไม่เห็นแก่เงินจนลดต้นทุนการประกอบการ จนนำมาซึ่งมลภาวะเป็นพิษต่อชุมชน
ผมเคยเห็นข่าวโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ปล่อยมลพิษทำลายสิ่งแวดล้อมมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ระบบราชการไทยทำได้แค่ตักเตือน สั่งปิดโรงงานแค่ชั่วคราวเพื่อให้แก้ปัญหาหมักหมมเดิมๆ แล้วพอโรงงานนั้นกลับมาเปิดกิจการอีก ก็กลับมาทำลายสิ่งแวดล้อมอีกเหมือนเดิม วนเวียนกันแบบนี้ไม่รู้จบ
ผมแทบไม่เคยเห็นเจ้าของโรงงานที่ทำลายสิ่งแวดล้อมสักโรงงานเดียว ต้องติดคุก หรือต้องจ่ายค่าเสียหายในราคาสูงให้แก่ชาวบ้านที่เดือดร้อนจริงๆ สักราย
เมื่อกฎหมายเอาผิดคนทำชั่ว มันห่วยแตก ประชาชนก็คือผู้รับเคราะห์ ด้วยการตายผ่อนส่งฟรีๆ
นี่แหละคือรากเหง้าของปัญหาสิ่งแวดล้อมไทย
(อย่างคดีสารตะกั่วของลำห้วยคลิตี้ล่าง ต้องใช้เวลานับ 19 ปี กว่าศาลจะตัดสินให้บริษัทต้องจ่ายค่าเสียหาย จนผู้เสียหายได้ตายไปแล้วไม่รู้กี่คน)
หากข้าราชการไม่คอร์รัปชัน นักลงทุนก็จะไม่กล้าทำผิดเรื่องสิ่งแวดล้อมง่ายๆ
โรงไฟฟ้าจากพลังงานทางเลือก ทั้งโรงไฟฟ้าจากการเผาขยะ และโรงไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล ที่ไม่ต้องใช้น้ำมัน หรือถ่านหินในการผลิตกระแสไฟฟ้า ถ้ามีได้ทุกจังหวัด หรือมีให้ได้แทบทุกตำบล คิดดูประเทศไทยเราจะดีขึ้นขนาดไหน
ปัญหาขยะก็ได้รับการแก้ไข ปัญหาชาวบ้านเผาวัสดุทางการเกษตรกันเองจนเกิดปัญหามลพิษหมอกควันก็จะหมดไปด้วย เพราะได้นำขยะเหล่านี้ไปแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานแทน แถมราคาถูกด้วย
แต่ที่มันเกิดได้ยาก เพราะรัฐบาลไทย ข้าราชการไทยมันห่วย จนชาวบ้านไม่กล้าไว้ใจนั่นเองครับ
ในเมื่อไฟฟ้านับวันต้องใช้มากขึ้น ยิ่งรัฐบาลชอบเชิญชวนให้นักลงทุนมาตั้งโรงงานมากขึ้น ไทยเราก็ต้องจัดหาพลังงานไฟฟ้ามารองรับมากขึ้น แถมต้องเป็นไฟฟ้าราคาถูกมากด้วย ถึงจะจูงใจนักลงทุนให้มาลงทุน
แต่พอจะสร้างโรงไฟฟ้าทีไร มันก็จะมีกระแสชาวบ้านออกมาต่อต้านเสมอ
ผมถามง่ายๆ ว่าถ้ามีโรงไฟฟ้าจากขยะไปตั้งพื้นที่ใด ทำไมไม่ให้คนในพื้นที่นั้นเขาได้ใช้ไฟฟ้าฟรี หรือมีส่วนลดพิเศษสำหรับค่าไฟฟ้า เพื่อเป็นการตอบแทนพวกเขาบ้างล่ะครับ??
ในเมื่อชาวบ้านเขาคิดว่า เขามีแต่เสียกับเสีย ก็ไม่มีชาวบ้านที่ไหน เขาอยากจะได้โรงไฟฟ้าไปตั้งในหมู่บ้านเขาหรอกครับ จริงไหม?
สาเหตุลึกกว่าที่คิด!!
เราอาจคาดไม่ถึง นั่นก็คือ พวกนักการเมืองและพวกข้าราชการที่ได้ผลประโยชน์จากการที่ ปตท.ขายแก๊สให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต พวกมันจะคอยขัดขวางการเกิดโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะและโรงไฟฟ้าชีวมวล
รวมไปถึงพวกนักการเมืองที่ไปส่งเสริมให้พม่าขายแก๊สให้ไทย พวกนี้กลัวตัวเองจะเสียเงินใต้โต๊ะที่ที่พม่าจ่ายให้ทั้งทางตรงทางอ้อม จึงพยายามปลุกปั่นคนไทยให้หวาดกลัวโรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะ
แต่พวกนักการเมืองและทุกรัฐบาลจะสนับสนุนโรงไฟฟ้าจากถ่านหินแทน
วิธีแก้ปัญหา
รัฐควรส่งเสริมให้ชาวบ้านได้เรียนรู้ศึกษาระบบโรงงานไฟฟ้าเหล่านี้ และรัฐบาลก็ลงทุนให้ชาวบ้านได้ดูแลบริหารจัดการโรงไฟฟ้าเหล่านี้ด้วยตัวพวกเขาเอง นี่แหละคือการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
ที่เรียกว่า “โรงไฟฟ้าจากขยะชุมชน” แก้ปัญหาขยะในท้องที่ และ “โรงไฟฟ้าชีวมวลประจำตำบล” แก้ปัญหาเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
เพราะชาวบ้านเขาย่อมไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมที่ๆ พวกเขาเกิดเขาอาศัยหรอก

อ้างอิงจาก http://kaeloveake.blogspot.com/2013/01/blog-post_28.html มุมมองของ akecity



กำลังโหลดความคิดเห็น