ประชากรนกเงือกในประเทศไทยมีแนวโน้มดีขึ้น มูลนิธิศึกษาวิจัยนกเงือก เผยใน 3 พื้นที่ทำวิจัยหลัก ปีที่แล้วพบนกเข้าโพรงรัง และผลสำเร็จในการทำรังเพิ่มขึ้น จึงเกิดลูกนกใหม่ถึง 178 ตัว หมายความว่าในปีนี้ จะได้ต้นไม้คืนความสมบูรณ์สู่ผืนป่าอีก 3,249 ต้น
ข้อมูลจากมูลนิธิศึกษาวิจัยนกเงือก ระบุว่านกปลูกป่าตัวจริง กินผลไม้ป่าเป็นอาหารหลักมากกว่า 100 ชนิด แต่ละตัวต่อวันกินในปริมาณมากถึง 100 เมล็ด ดังนั้น หากประเมินเป็นอย่างน้อยที่สุด นกเงือก 1 ตัว กินแล้วคายเมล็ดทิ้งในป่าเพียง 1 เมล็ดต่อวัน จะงอกเป็นกล้าไม้ และเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ได้เพียงร้อยละ 5 จึงทำให้ทุกปี นกเงือกเพียงตัวเดียวปลูกต้นไม้ให้ป่าได้ราว 18 ต้นต่อปี
นกปลูกป่า สร้างสมดุลแก่ธรรมชาติ
นับว่าเป็นดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของป่าได้อย่างดี ด้วยลักษณะพิเศษของจะงอยปากที่ใหญ่และแข็งแรงของนกเงือกสามารถกินลูกไม้ที่มีขนาดใหญ่อย่างต้นมาง ตาเสือใหญ่ และค้อ เขาเป็นนักปลูกต้นไม้ตัวยง เพราะสามารถเข้าไปปลูกได้ในป่าสูงๆ ซึ่งคนยากจะปีนป่ายไปถึง
ข้อมูลวิจัยของ ดร.วิจักขณ์ ฉิมโฉม เลขาธิการมูลนิธิศึกษาวิจัยนกเงือก ระบุว่า แค่มีต้นไม้ที่รอดตายจากการถ่ายมูลของนกเงือก เพียงวันละ 1 เมล็ดในแต่ละวัน ผืนป่าทั้ง 3 แห่งที่ทำการวิจัย ได้แก่ เขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และเทือกเขาบูโด เขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ก็จะได้ต้นไม้เพิ่ม 700,000 ต้น
ที่บอกว่านกเงือกคือนกปลูกป่าตัวจริง เพราะจากการศึกษาของมูลนิธิศึกษาวิจัยนกเงือกพบว่า นกเงือกกินเมล็ดพืชที่หลากหลาย ต่างจากนกในป่าส่วนใหญ่ที่ทำไม่ได้ และด้วยระยะทางการบินที่ไกลของนกเงือกยิ่งจะทำให้นำพาเมล็ดพืชไปกระจายพันธุ์ยังถิ่นอื่น รวมถึงการตกหล่นของเมล็ดพืชบริเวณที่ตั้งโพรงรังมักอยู่ในพื้นที่เหมาะกับการงอกเติบโตเป็นกล้าไม้
เช่นทุกวันนี้ในทุกปีนกเงือกกรามช้างปากเรียบที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งจะบินไปหาคู่ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ฮาลา บาลา จังหวัดยะลา 2,000 กว่ากิโลเมตร ช่วงเดือนพฤษภาคมก่อนจะกลับมายังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ระหว่างทางบินก็จะทำหน้าที่เชื่อมโยงความหลากหลายของป่าด้วยการทิ้งมูลเมล็ดพันธุ์ไม้ เพราะทุกวันนี้ป่ากระจายตัวออกจากกันเป็นพื้นที่อย่าง แก่งกระจาน เขาหลวง ฮาลาบาลา และห้วยขาแข้ง
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.พิไล พูลสวัสติ์ (หัวหน้าโครงการศึกษานิเวศวิทยาของนกเงือก คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล) ย้ำบทบาทสำคัญของนกเงือก คือการช่วยสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศของป่าดิบเมืองร้อน ที่เด่นชัดเขาคือผู้แพร่กระจายเมล็ดพันธุ์ไม้ และยังช่วยควบคุมประชากรกรสัตว์เล็กในฐานะผู้ล่า ในบางประเทศ นักพฤกษศาสตร์ได้ศึกษาป่าที่นกเงือกหายไป พบว่าต้นไม้บางชนิดเริ่มลดลง นั่นเพราะไม่มีนกเงือกช่วยกระจายพันธุ์
“จึงคาดหวังอยากให้คนรุ่นหลังใส่ใจเรื่องธรรมชาติ ความสมดุลในระบบนิเวศเข้าใจปฏิสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง นกเงือกเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสมดุลของระบบนิเวศถ้าคนรุ่นหลังตระหนักในเรื่องปฏิสัมพันธ์นี้ เราก็จะมีท่าทีใหม่ในการสร้างความสัมพันธ์กับสรรพสิ่งในโลกนี้ด้วย”
สถานการณ์ช่วยเหลือนกเงือก
ปัจจุบัน มูลนิธิฯ ทำโครงการอุปการะครอบครัวนกเงือก โครงการปรับปรุงรังนก และโครงการสร้างโพรงเทียมสำหรับนกเงือก เช่น โพรงเทียมทำจากเบอร์กลาส ติดตั้งในป่าบูโด ตั้งแต่ปี 2549 ตอนนี้เหลือ 13 โพรง นกเงือก (นกกก) เข้ามาใช้ได้ลูกนกจากโพรงเทียมแล้ว 40 ตัว
เพราะนกเงือกไม่สามารถเจาะต้นไม้เพื่อทำรังเอง จึงคอยอาศัยโพรงไม้ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ หรือโพรงเดิมของสัตว์ชนิดอื่นๆ เช่นโพรงรังในต้นไม้ที่เกิดจากการเจาะของนกหัวขวาน โพรงที่เกิดจากรอยเล็บหมีมากินผึ้ง หรือโพรงที่เกิดจากฟ้าผ่า โดยโพรงที่นกเงือกจะทำรังได้นั้นต้องมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า 120 เซนติเมตร ความกว้างในโพรงประมาณ 40x50 เซนติเมตร มีความสูงของชั้นเรือนยอดไม่น้อยกว่า 30 เมตร ซึ่งต้นไม้ใหญ่ที่มีลักษณะอย่างนี้ มักจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี ซึ่งปัจจุบันเหลือน้อยมาก
ปกตินกเงือกใช้โพรงเดิมซ้ำเป็นรังประมาณ 10 ปี จากนั้นก็จะเสาะหาโพรงรังใหม่ แม้จะเป็นโพรงที่เกิดจากธรรมชาติ ก็ใช่ว่านกเงือกจะใช้ได้เสมอไป บางโพรงมีน้ำขังบางโพรงลึกเกินไป ปากแคบเกินไป ถ้าโพรงเก่าที่เคยใช้ในปีก่อนๆ เสียหาย นกเงือกก็ต้องออกตระเวนไพรหาใหม่ สรุปว่าถ้าไม่มีโพรง หรือหาโพรงไม่ได้ การขยายพันธุ์ของนกเงือกก็จะไม่เกิดขึ้น
หนุนชุมชนร่วมปกป้องนกเงือก
เพราะภัยคุกคามหลักของนกเงือกล้วนมาจากมนุษย์ซึ่งเป็นผู้ล่า และชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์ที่สุดคือ นกชนหิน ซึ่งพบได้ที่ภาคใต้ของไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย นกชนหินถูกล่าปีละกว่า 1,000 ตัว โดยนำโหนกของนกชนหินไปแกะสลัก เมื่อขายทอดตลาดจะมีราคาสูงมาก
ชุมชนอนุรักษ์นกเงือกเทือกเขาบูโด ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กลายเป็นผู้พลิกจากบทบาทพรานล่านก มาร่วมทำงานกับมูลนิธิฯ ตั้งแต่ปี 2537 ปัจจุบันมีสมาชิกชาวบ้านและเยาวชนในชุมชนรวม 36 คน คอยทำหน้าที่เฝ้าระวังภัย ดูแลโพรงรังนกเงือก กว่า 124 โพรง ได้ลูกนกเงือกเกิดใหม่จากโพรงเทียมแล้วกว่า 700 ตัว
ดร.พิไล บอกว่า "วิธีการให้ชุมชนเข้าร่วมด้วยช่วยกันดูแล ถือว่าเป็นแนวทางการปลูกจิตสำนึกให้คนในพื้นที่ได้เข้าใจถึงความจำเป็นจะต้องอนุรักษ์นกเงือก ซึ่งกินความหมายไปถึงการช่วยในการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศในผืนป่า ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีในการอนุรักษ์ป่าไม้ และยังช่วยปกป้องรักษาป่าไม้อย่างยั่งยืน"