“ด่านซ้าย”จัดทำ“แผนยุทธศาสตร์การจัดการลุ่มน้ำหมัน” จากงานวิจัยเพื่อแก้ปัญหาการจัดการน้ำทั้งระบบ คาดเริ่มใช้เดือนตุลาคม 2561 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ชี้เพื่อนำงานวิจัยมาขยายผลและพัฒนาการจัดการน้ำให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในท้องถิ่นอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
เมื่อประชากรเพิ่มขึ้นความต้องการใช้น้ำก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย จึงเกิดการแย่งชิงการใช้น้ำ โดยเฉพาะน้ำเพื่อการเกษตร นอกจากนี้ สภาวะโลกร้อนยังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ผลงานวิจัยด้านการจัดการน้ำหลายสำนักยืนยันตรงกันว่า ปัญหาดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ขาดประสิทธิภาพและการใช้น้ำที่เหมาะสม ทำให้นับวันวิกฤตการณ์น้ำและการจัดการน้ำจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
ชี้ให้เห็นได้ชัดเจนว่าปัญหาการจัดการน้ำในระดับประเทศมีความสอดคล้องกับปัญหาในระดับท้องถิ่น เช่นกรณีของ “งานวิจัยโครงการแนวทางการจัดการลุ่มน้ำหมัน” อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย โดยเครือข่ายทางสังคมเพื่อความมั่นคงทางอาหาร จากการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เผยให้เห็นว่า ลุ่มน้ำหมันเป็นแม่น้ำสายหลักของชุมชนในพื้นที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย มีความยาวเพียง 65 กิโลเมตรไหลจากเหนือจรดใต้ แต่จากสภาพภูมิประเทศที่สูงชันทำให้ทิศทางการไหลไม่แน่นอนมีผลต่ออุทกศาสตร์ของลำน้ำทั้งในด้านการรับน้ำฝน การไหลของน้ำ การเก็บกัก และการกัดเซาะดินจากกระแสน้ำทำให้เกิดความแตกต่างทางกายภาพส่งผลให้ลุ่มน้ำหมันต้องเผชิญทั้งน้ำท่วมและวิกฤติภัยแล้งในปีเดียวกัน
จากการวิจัยพบว่า ตลอดระยะความยาวของลุ่มน้ำหมันล้วนประสบปัญหาด้านการจัดการน้ำในมิติต่างๆ อาทิ ขาดเทคนิควิธีการบริหารจัดการที่เหมาะสม ขาดการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน มีเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ขาดกรอบและทิศทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำส่งผลให้เกิดวิกฤติการจัดการน้ำในพื้นที่ อีกทั้ง พื้นที่ยังมีความแตกต่างกันในเชิงนิเวศสูง และความแตกต่างในเรื่องของการใช้ชีวิต นำมาสู่ความไม่เข้าใจเกิดความขัดแย้งระหว่างหมู่บ้านต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
๐ โจทย์วิจัยที่ใหญ่ขึ้น
ผศ.ดร.เอกรินทร์ พึ่งประชา อาจารย์ประจำภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ในฐานะหัวหน้าโครงการฯ เปิดเผยว่า อำเภอด่านซ้าย นอกจากจะเป็นพื้นที่ที่มีความแตกต่างกันในเชิงนิเวศ และการใช้ชีวิตของแต่ละชุนชนสูงแล้ว ยังเป็นพื้นที่วิกฤติเขาหัวโล้นของภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีความวิกฤติไม่ต่างจากจังหวัดน่าน ภาวะวิกฤติเขาหัวโล้นนี้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนในอำเภอด่านซ้ายอย่างมาก เพราะก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนบนพื้นที่ราบลุ่มกับคนบนพื้นที่สูง เช่น กรณีหมู่บ้านนาเวียงใหญ่ และหมู่บ้านห้วยตาด ซึ่งในอดีตทั้ง 2 หมู่บ้านมีปัญหาขัดแย้งในเชิงสังคมสูง เนื่องจากคนในพื้นที่ราบลุ่มต้องประสบปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง น้ำป่าไหลบ่า ดินสไลด์ และยังได้รับผลกระทบจากการทำการเกษตรของคนบนพื้นที่สูงที่มีการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ซึ่งใช้สารเคมีในปริมาณที่สูงมาก ทำให้ระบบนิเวศของคนบนพื้นที่ราบลุ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง รวมถึงแหล่งอาหารธรรมชาติของชุมชนหายไป เช่น พื้นที่ที่เคยเป็นวังปลาและปลาที่อยู่ในลุ่มน้ำหมันซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักหายไป กลายเป็นต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้งและนำมาสู่โจทย์งานวิจัย
จากจุดเริ่มต้นในพื้นที่วิจัย 2 หมู่บ้านดังกล่าว นำไปสู่โจทย์ที่ใหญ่ขึ้น เนื่องจากผลการวิจัยเบื้องต้นแม้จะสามารถแก้ปัญหาได้ แต่ก็พบว่าแนวทางการแก้ปัญหาของหมู่บ้านหนึ่งอาจไม่ใช่คำตอบของทุกหมู่บ้าน และการแก้ปัญหาไม่สามารถแก้เพียงหมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่ง เพราะจะไม่สามารถฟื้นฟูผืนป่าทั้งระบบได้ จึงหันมาแก้ปัญหาทั้งระบบนิเวศของลุ่มน้ำ เพราะการฟื้นฟูทรัพยากรอาหาร ดิน น้ำ ป่า ไม่สามารถพัฒนาแบบแยกส่วนหรือทำงานวิจัยเชิงเดี่ยวได้ ควรคิดในเชิงระบบทั้งระบบนิเวศ ชุมชน และสังคม
เป็นที่มาของการจัดทำ“โครงการการจัดการลุ่มน้ำหมันทั้งระบบ” ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยดึงหน่วยงานท้องถิ่นเข้ามาร่วมในฐานะนักวิจัย ตลอดจนภาคส่วนต่างๆ ทั้งชาวบ้าน ผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่น เทศบาล อำเภอ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้ายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดการสร้างเครือข่ายระหว่างลุ่มน้ำในการขับเคลื่อน เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ร้อยละ 95 ของลุ่มน้ำหมัน ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำให้การฟื้นฟูป่าและแหล่งต้นน้ำไม่สามารถแยกออกจากคนได้ คนจึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนงานวิจัยครั้งนี้
ตลอดลุ่มน้ำหมัน แต่ละพื้นที่จะมีลักษณะในเชิงกายภาพ ระบบนิเวศ และวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน แต่ละหมู่บ้านมีรูปแบบการทำเกษตรที่แตกต่างกัน การดำเนินงานวิจัยจึงต้องประเมินสถานการณ์ของแต่ละหมู่บ้านก่อนว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร อะไรคือปัญหา มีการปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม หรือ Participatory Action Research เพื่อต้องการรู้ความต้องการในการแก้ปัญหาของแต่ละหมู่บ้าน โดยการถอดบทเรียนเพื่อหาคำตอบของแต่ละหมู่บ้านว่าที่ผ่านมามีการจัดการน้ำอย่างไร มีการจัดการป่าอย่างไร และมีรูปแบบในการทำเกษตรอย่างไร เพื่อต้องการรู้ว่าเขาคิดและต้องการอะไร ปัญหาคืออะไร และทำไมถึงไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง จากนั้นจึงค่อยนำมาสู่การหาวิธีการแก้ปัญหา
๐ ถอดบทเรียนการวิจัย
“ผลการถอดบทเรียนทำให้พบว่า ในการพัฒนาใดๆ นั้น ข้อแรก ต้องรับฟังเสียงชาวบ้านว่าเขาต้องการอะไร ไม่ใช่ทำจากมุมมองของภาครัฐหรือคนภายนอก เพราะนั่นอาจไม่ใช่สิ่งที่ชาวบ้านต้องการ เช่น การสร้างเขื่อนที่มักเกิดคำถามว่าสร้างทำไม ไม่คุยกับชาวบ้านก่อน ฝายก็เช่นกัน สร้างแล้วการใช้งานมีประสิทธิภาพแค่ไหน เมื่อมีโครงการภาครัฐเข้าไปยังพื้นที่ จึงควรจะต้องมีการประสานกันระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นกับองค์ความรู้ใหม่ โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์ของระบบสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันไม่สามารถควบคุมได้และองค์ความรู้จำเป็นต้องปรับตัวให้เท่าทันกับสถานการณ์รูปแบบใหม่ไม่ว่าจะเป็นการจัดการน้ำหรือการจัดการป่า ดังนั้น การสร้างความยืดหยุ่นให้กับชุมชนจึงเป็นเรื่องสำคัญ”
“ข้อสอง กระบวนการพัฒนาจะต้องเรียนรู้วิถีของชาวบ้าน และการแก้ปัญหาจะต้องไม่ได้เกิดจากพัฒนาในมิติเชิงเดี่ยว แต่ต้องใช้ความรู้ในการจัดการ ทำความเข้าใจกับชาวบ้าน เข้าใจฐานหรือวิถีชีวิตของชุมชน และการระดมความเห็น การรับฟังเสียงของชาวบ้านการเขาได้มีส่วนร่วมเหล่านี้เป็นการสร้างความรู้สึกความมีศักดิ์ศรีให้กับเขาด้วย”
“จริงๆ แล้วชาวบ้านไม่ได้ปฏิเสธกระบวนการพัฒนา แต่การพัฒนาอะไรในพื้นที่ต้องฟังเสียงชาวบ้าน ต้องเรียนรู้วิถีชีวิต และในฐานะเจ้าของพื้นที่ชาวบ้านจะต้องเกิดการตั้งคำถามก่อนที่จะปล่อยให้มีการเข้ามาสร้างหรือพัฒนาในสิ่งที่ชุมชนไม่ต้องการเพราะจะทำให้ระบบนิเวศหายไป เช่นเดียวกับงานวิจัยลุ่มน้ำหมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่เห็นชีวิตของผู้คนตรงนั้น” ผศ.ดร.เอกรินทร์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลการวิจัยดังกล่าวจะไม่สามารถหาคำตอบแบบเบ็ดเสร็จที่จะนำไปใช้แก้ปัญหาการจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบให้ออกมาเหมือนกันทั้งหมดได้ เพราะได้ค้นพบแล้วว่า แนวทางในการแก้ปัญหาของแต่ละหมู่บ้านแตกต่างกัน แนวทางหนึ่งอาจไม่ใช่คำตอบของอีกหมู่บ้านหนึ่ง แต่สามารถเสนอแนวคิดให้กับท้องถิ่นได้ว่าจากการถอดบทเรียนแต่ละหมู่บ้านมีปัญหาอะไร มีวิธีคิดที่จะนำไปสู่การจัดการอย่างยั่งยืนและให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร ซึ่งต่อไปปัญหาการจัดการน้ำของอำเภอด่านซ้าย จำเป็นที่ทุกภาคส่วนจะต้องเรียนรู้ร่วมกันก่อนว่าชุมชนต้องการอะไร และควรทำอะไรก่อน รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น นั่นคือ จะต้องมีกระบวนการวิจัยก่อนที่จะมีผลผลิต จึงไม่สามารถสร้างพิมพ์เขียว หรือ output ได้แบบเบ็ดเสร็จ แต่จะต้องใช้ความรู้หรืองานวิจัยเข้าไปช่วยในการพัฒนา
ทั้งนี้ จากที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้เห็นควรให้นำผลงานวิจัยมาขยายผลและพัฒนาเรื่องการจัดการน้ำให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในท้องถิ่น จึงได้จัดให้มีการประชุมระดมความเห็นการจัดการลุ่มน้ำหมันขึ้นเมื่อต้นปี 2560 ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย โดยมีภาคส่วนต่างๆ เข้าร่วม ซึ่งที่ประชุมได้มีมติให้จัดทำ “แผนยุทธศาสตร์การจัดการลุ่มน้ำหมัน” อย่างเร่งด่วน เพื่อให้การพัฒนาและบริหารจัดการทรัยพากรน้ำลุ่มน้ำหมันเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยทางอำเภอด่านซ้ายได้มอบหมายให้ ผศ.ดร. เอกรินทร์ นักวิจัย สกว.ดำเนินการจัดทำขึ้น และล่าสุดแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาแล้ว คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนตุลาคม 2561