xs
xsm
sm
md
lg

ผลวิจัยซีเอสอาร์ 6 ยักษ์ธุรกิจ สะท้อนการขับเคลื่อนองค์กรที่ยั่งยืน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วรวุฒิ ไชยศร ผู้ทำการวิจัยจากวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
-ผลศึกษาและวิจัย ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจ (Corporate Social Responsibility: CSR) กับการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development: SD)
-กรณีศึกษาโครงการความรับผิดชอบต่อสังคม 6 ยักษ์ธุรกิจ
-ตอกย้ำซีเอสอาร์นั้นสำคัญและจำเป็นต่อการขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน

นับเป็นการศึกษากิจกรรมโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมใน 6 บริษัทจำกัดมหาชน (บมจ.) ได้แก่ 1) บมจ. ธนาคารกรุงไทย-โครงการกรุงไทยยุววาณิชย์ 2) บมจ. ปตท.-โครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ 3) บมจ. สหวิริยาอินดัสตรี-โครงการธนาคารชุมชน 4) บมจ. บางจากปิโตรเลียม-โครงการปั๊มชุมชน 5) บมจ. ไมเนอร์อินเตอร์ เนชั่นแนล-โครงการรักการอ่าน และ 6) บมจ. เอสซีจี-โครงการรักษ์น้ำเพื่ออนาคต
ซึ่งจะเห็นว่าทั้งหมดเป็นองค์กรธุรกิจชั้นนำในไทย ที่มีกระบวนการดำเนินการและพัฒนาความรับผิดชอบต่อสังคมมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน

ผู้ทำการศึกษาวิจัย วรวุฒิ ไชยศร จากวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต คัดเลือกโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 10 ปี และเคยได้รับรางวัลความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR Award) และรางวัลรายงานความยั่งยืน (Sustainability Report Award) ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) CSR CLUB สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย และสถาบันไทยพัฒน์มาอย่างต่อเนื่อง
บมจ. ธนาคารกรุงไทย-โครงการกรุงไทยยุววาณิชย์
บมจ. ปตท.-โครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ
บมจ. สหวิริยาอินดัสตรี-โครงการธนาคารชุมชน
บมจ. บางจากปิโตรเลียม-โครงการปั๊มชุมชน
บมจ. ไมเนอร์อินเตอร์ เนชั่นแนล-โครงการรักการอ่าน
บมจ. เอสซีจี-โครงการรักษ์น้ำเพื่ออนาคต
วรวุฒิ ไชยศร กล่าวว่าการศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาเปรียบเทียบสาเหตุ ความจำเป็น เป้าหมาย การดำเนินการในความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจที่เป็นไปตามแนวคิด ทฤษฎีในด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาที่ยั่งยืน 2) สังเคราะห์ความคิดเห็นและเหตุผลโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจตามแนวคิด ทฤษฎีด้านความรับผิดชอบต่อสังคมกับการพัฒนาที่ยั่งยืน และแนวคิดทฤษฎีผู้มีส่วนได้เสีย โดยทำการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสังเกตกับกลุ่มบริษัท ซึ่งใช้เป็นหน่วยในการวิเคราะห์ และการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียซึ่งเป็นบุคคลภายนอกบริษัท

ผลชี้ชัด ซีเอสอาร์นั้นจำเป็น
สะท้อนถึงวัฒนธรรมขององค์กร
ผลการศึกษาพบว่า ผู้บริหารบริษัท/ผู้แทนบริษัท นักวิชาการ และผู้บริหารองค์กรมีความคิดเห็นสอดคล้องกันในด้านความจำเป็น เป้าหมาย การดำเนินการต่อประเด็นหลัก 4 ข้อ คือ
1) CSR มีความจำเป็นและสำคัญมาก และเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
2) มองว่าองค์กรธุรกิจต้องได้รับการยอมรับจากสังคม (พึ่งพาอาศัย/เกื้อกูลกันและกัน/องค์กรมีรายได้-ชุมชนมีรายได้) ทำให้ได้ใบอนุญาตจากสังคม
3) ความรับผิดชอบต่อสังคมทำให้องค์กร/ชุมชนมีความยั่งยืน
4) ผู้บริหารมีความสำคัญมากในการสร้างวัฒนธรรมองค์กร/นโยบายองค์กรด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาที่ยั่งยืน
ส่วนความคิดเห็นในประเด็นด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อผู้มีส่วนได้เสียในโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมที่บริษัทดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง 6 บริษัท พบว่า มี 10 รายการที่ผู้บริหาร/ตัวแทนบริษัท และผู้มีส่วนได้เสีย มีความคิดเห็นที่สอดคล้องกัน ดังนี้
1) โครงการที่ทำอยู่นำไปสู่ความยั่งยืนได้
2) สร้างประโยชน์ให้กับชุมชน
3) มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีความสม่ำเสมอในการดำเนินโครงการ
4) ตระหนักถึงความสำคัญของสังคม
5) ตระหนักถึงความสำคัญของเศรษฐกิจ
6) เน้นการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน
7) สร้างรายได้ สร้างอาชีพให้คนในชุมชน
8) สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนยืนได้ด้วยตนเอง
9) เริ่มต้นจากแนวคิดผู้บริหาร
10) พึ่งพาอาศัย เกื้อกูลซึ่งกันและกันระหว่างบริษัทและชุมชน

ผู้ทำวิจัยสรุปว่าทั้ง 6 บริษัทมีการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมมาเป็นระยะเวลานาน มีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน มีการจัดทำนโยบายและแผนกลยุทธ์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นที่มีความสำคัญต่อองค์กรและพนักงานที่เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันกับผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ ซึ่งความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัทมีความจำเป็นมากที่ควรนำ CSR เข้าไปอยู่ในกระบวนการธุรกิจที่เรียกว่า “CSR-in-process” อันจะนำไปสู่ความมั่นคงและความยั่งยืนของความรับผิดชอบต่อสังคมผ่านกิจกรรม หรือโครงการ ต่าง ๆ ของบริษัท จนกระทั่งกลายเป็นนโยบายและนำไปสู่การเป็นหน้าที่หลักอย่างหนึ่งของบริษัทต่อเรื่องดังกล่าว

จึงควรมีกลยุทธ์ที่นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของบริษัท โดยทำความเข้าใจกับความหมาย ของคำว่า “การพัฒนาที่ยั่งยืน” และควรมีความชัดเจนว่าใคร คือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อองค์กรคืออะไร ทั้งนี้เพื่อสามารถนำมาวางแผนกลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัท การเชื่อมโยงระหว่างกระบวนการธุรกิจ CSR กับการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน ถ้าหากเชื่อมในแง่การใช้กลไกเชิงกฎหมายเชิงจรรยาบรรณ ก็จะไม่ใช่วิธีธรรมชาติ ซึ่งควรเป็นวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงอยู่ด้วยกับความยั่งยืน คือ ทำธุรกิจแล้วตอบโจทย์สมดุลได้ทั้ง 3 เรื่อง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน

CSR คือ HUB ที่เชื่อมโยงคนทั้งโลกให้มีจิตสำนึก

ในประเด็นความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ผู้วิจัยได้ศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประมวลความรู้จากทั้งแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการศึกษาโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้บริหารบริษัทที่เป็นกรณีศึกษา 6 บริษัท ผู้บริหารองค์กรและนักวิชาการ รวมทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ และสามารถกลั่นกรองเป็นนิยามของคำว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

CSR คือ HUB ที่เชื่อมโยงคนทั้งโลกให้มีจิตสำนึกที่ดี มีคุณธรรมจริยธรรม และมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อหน้าที่ ต่อองค์กร สังคม และประเทศชาติ ครอบคลุมพันธกิจในด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม เป็นการดำเนินการธุรกิจที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดขององค์กรธุรกิจด้วยจิตอาสา และต้องมีนวัตกรรมใหม่ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) มารองรับในการแก้ไขปัญหา พัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เป็นความรับผิดชอบของภาคธุรกิจต่อสังคม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต กล่าวคือการพัฒนาองค์กรธุรกิจอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปเป็นกิจการเพื่อสังคม ไม่ว่าจะเป็นองค์กรที่เกิดใหม่หรือองค์กรที่มีอยู่เดิมก็ตาม



กำลังโหลดความคิดเห็น