ประชากรในยุคมิลเลนเนียลไม่ได้มีความสำคัญต่อโลกในการเป็นตัวขับเคลื่อนอนาคตของโลกด้านสังคมเท่านั้น หากแต่ยังเริ่มมีบทบาทต่อการพัฒนาด้านกรีน จนเกิดคำศัพท์ใหม่ที่เรียกว่า Green Generation ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2015
เมื่อยุค 100 ปีที่ผ่านมา ประชากรยุคมิลเลนเนียลได้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากทางเศรษฐกิจมากกว่าความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ กระนั้นก็ตาม การศึกษาผ่านช่องทางแบบสอบถามออนไลน์ของบริษัทเนียลเซ่น ก่อนหน้านี้พบว่า ประชากรในรุ่นมิลเลนเนียล 3 จาก 4 คน ที่ตอบแบบสอบถามระบุว่ามีความยินดีและเต็มใจที่จะจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อให้มีส่วนร่วมในการเข้าถึงเป้าหมายความยั่งยืนของสังคมและโลก และเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากผลการสำรวจในอดีตก่อนหน้านั้น
ผู้ตอบแบบสอบถามที่ว่านี้ เป็นกลุ่มเยาวชนที่เรียกว่า Generation Z หรือคนที่มีอายุ 15-20 ปี ที่ระบุว่าตนเต็มใจจะจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์และบริการที่มาจากบริษัทที่มีความมุ่งมั่นและนโยบายที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีผลกระทบน้อยลงต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม จากราว 55% ในการสำรวจก่อนหน้านี้ เป็น 77%
ผลการสำรวจดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า
ประการที่ 1 การปลูกฝังการรับรู้ให้กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวมีความมั่นใจต่อชื่อเสียงของแบรนด์ในด้านการเป็นกรีน ย่อมมีผลต่อเยาวชนในอนาคตอย่างแน่นอน และน่าจะคุ้มค่าต่อการลงทุน
ประการที่ 2 ไม่ใช่แต่เฉพาะกลุ่มมิลเลนเนียลเท่านั้นที่เป็น Green Generation หากแต่กลุ่ม เบบี้บูม ที่มีอายุระหว่าง 50-64 ปี ก็ให้ความสนใจต่อการบริโภคกรีน และเป็น Green Consumer ได้เหมือนกัน และกิจการต่างๆ จึงควรใส่ใจกับกลุ่มนี้และไม่ควรจะละทิ้งกลุ่มคนสูงวัยพวกนี้ไปอย่างสิ้นเชิง เพียงเข้าใจว่าควรลงทุนกับเด็กรุ่นใหม่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น
ประการที่ 3 กลุ่ม Green Generation ที่ว่านี้ไม่ได้จำกัดหรือกระจุกตัวในบางพื้นที่เท่านั้น หากแต่กระจายออกไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก และมีแนวโน้มเพิ่มสัดส่วนขึ้นในทุกภูมิภาคของโลกด้วย แสดงว่าการรับรู้เกี่ยวกับคุณค่าของสังคมและสิ่งแวดล้อมได้แพร่กระจายออกไปทั่วโลกในช่วงเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ
•กิจการที่ดำเนินงานอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
•กิจการที่มีความมุ่งมั่น มีนโยบายในการส่งเสริมคุณค่าทางสังคม
•ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากวัตถุดิบและส่วนผสมจากธรรมชาติ ออร์แกนิก
ประการที่ 4 หากต้องแลกกันระหว่างคุณค่าของกรีน กับความสะดวกสบายส่วนบุคคล Green Generation ระบุว่าตนให้คุณค่ากับเรื่องของสังคมมากกว่าความสะดวกสบายส่วนตน และยินดีแลกกัน
ประการที่ 5 ตัวขับเคลื่อนการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการที่เน้นความยั่งยืน จากกลุ่มที่ตอบแบบสอบถามมาจาก 7 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
ตัวขับเคลื่อนสำคัญที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตนั้นมาจากแบรนด์หรือบริษัทที่ผู้ซื้อเชื่อมั่น ไว้วางใจ
ตัวขับเคลื่อนสำคัญอันดับสอง คือ ผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงในด้านประโยชน์ต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต
ตัวขับเคลื่อนสำคัญอันดับสาม คือ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากส่วนผสม ส่วนประกอบธรรมชาติ ออร์แกนิก
ตัวขับเคลื่อนสำคัญอันดับสี่ คือ ผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่มีชื่อเสียงว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ตัวขับเคลื่อนสำคัญอันดับห้า คือ ผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่มีชื่อเสียงว่ามีนโยบาย มุ่งมั่นต่อคุณค่าทางสังคม
ตัวขับเคลื่อนสำคัญอันดับหก คือ มีหีบห่อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ตัวขับเคลื่อนสำคัญอันดับเจ็ด คือ ผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่มีความมุ่งมั่นกรีนที่มีผลต่อสังคมของตน