รวมพลังพลิกฟื้นคืนความสมบูรณ์ของผืนป่าชายเลนบ้านแหลมกรวด จ.กระบี่ ในพื้นที่ 5 ไร่ เพิ่มเติมจาก ได้ดำเนินการปลูกและบำรุงรักษามาแล้ว กว่า 4,200 ไร่
กฟผ. พร้อมเครือข่ายจิตอาสาน้อมสืบสานปณิธานงานของพ่อ นับเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกให้กับชุมชนและประชาชน และร่วมเป็นเครือข่ายอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรป่าชายเลน พร้อมต่อยอดความรู้ พัฒนาอาชีพให้กับชุมชนรอบโรงไฟฟ้ากระบี่ เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ธาตรี ริ้วเจริญ ผู้ช่วยผู้ว่าการกิจการสังคม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ในปี 2560 กฟผ. ได้จัดกิจกรรมน้อมสืบสานปณิธานงานของพ่อ 4 เส้นทาง และครั้งนี้เป็นเส้นทางสุดท้าย โดยได้รวมพลังกับเครือข่ายจิตอาสาลงพื้นที่ภาคใต้ เพื่อร่วมกันพลิกฟื้นคืนความสมบูรณ์ให้กับผืนป่าชายเลนในชุมชนบ้านแหลมกรวด จ.กระบี่ พร้อมทั้งต่อยอดความรู้ พัฒนาอาชีพและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้กับชุมชนรอบโรงไฟฟ้ากระบี่ เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 1 - 3 ตุลาคม 2560
กฟผ. ตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้แหล่งต้นน้ำลำธาร รวมถึงระบบนิเวศวิทยาของป่าชายเลนของประเทศ โดยดำเนินการอย่างต่อเนื่องมากว่า 23 ปี ซึ่งที่ผ่านมา กฟผ. ดำเนินการปลูกฟื้นฟูป่าชายเลนมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเนื้อที่รวมทั้งประเทศ 17,533 ไร่ โดยแบ่งเป็นภาคใต้ 10,473 ไร่ ภาคกลางและภาคตะวันตก 800 ไร่ และภาคตะวันออก 6,260 ไร่
สำหรับกิจกรรมน้อมสืบสานปณิธานงานของพ่อ “ปั่น-ปั้น-ปัน-ปลูก ป่าชายเลนกระบี่” ในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อเชิญชวนจิตอาสาที่สนใจร่วม‘ปั่น’จักรยานโรงเรียนบ้านแหลมกรวดมุ่งหน้าสู่ชุมชนบ้านแหลมกรวด จ.กระบี่ เพื่อ‘ปลูก’ป่าชายเลน เพิ่มเติม 5 ไร่ ในพื้นที่ จ.กระบี่ ต่อเนื่องจากที่ กฟผ. ได้ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งดำเนินการปลูกและบำรุงรักษาป่าชายเลน จ.กระบี่ จนถึงปัจจุบัน รวมมีพื้นที่ปลูกป่าชายเลนแล้วกว่า 4,200 ไร่
อีกทั้งร่วมกิจกรรม‘ปัน’ความฝัน ส่งมอบอุปกรณ์กีฬาและขนมให้กับนักเรียน รร.บ้านแหลมกรวด และ ‘ปั้น’ความรู้ ด้วยการต่อยอด พัฒนาอาชีพและผลิตภัณฑ์ของชุมชนรอบโรงไฟฟ้ากระบี่ ให้ตรงตามความต้องการของตลาดมากขึ้น ทั้งการออกแบบโลโก้ผลิตภัณฑ์และการทำการตลาดออนไลน์ เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และสร้างรายได้ให้กับชุมชน รวมทั้งได้เยี่ยมชมวิถีชีวิตของชาวชุมชนเกาะกลาง ซึ่งเป็นชุมชนไทยพุทธและมุสลิมที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
นอกจากนี้ กฟผ. ได้เตรียมขยายพื้นที่ปลูกป่าชายเลนในภาคใต้ให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นแหล่งอาหารและที่ฟักตัวของสัตว์น้ำวัยอ่อนที่เอื้อต่อการเป็นแหล่งประกอบอาชีพที่สำคัญของชาวประมงพื้นบ้าน และเพื่อสร้างความสมดุลของระบบนิเวศ รวมทั้งป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกอันเป็นสาเหตุของการเกิดปัญหาโลกร้อน อีกด้วย