xs
xsm
sm
md
lg

โคคา-โคลา ชู “บ้านโนนข่า” ชุมชนยั่งยืนภายใต้โครงการรักน้ำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อาสาสมัครพลังบวกกับโคคา-โคลาและสมาชิกชุมชนบ้านโนนข่า ณ แท็งค์เก็บน้ำผลสำเร็จจากโครงการ”รักน้ำ”
“น้ำ” เป็นปัจจัยสำคัญต่อชีวิตของมนุษย์ แต่ทั่วโลกมีประชากรหลายร้อยล้านคนประสบปัญหาขาดแคลนน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคและบริโภค ดังนั้นองค์การสหประชาชาติจึงตั้งเป้าจัดหาน้ำสะอาดให้แก่ประชากรโลก ภายในปี ค.ศ. 2030 อันเป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals พร้อมได้กำหนดวันน้ำโลก หรือ World Water Day ขึ้นมาในวันที่ 22 มีนาคม ของทุกปี เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและแหล่งน้ำ
ลักษณี ฐิติโชติรัตนา ผู้ใหญ่บ้าน บ้านโนนข่าหมู่ที่6 ต.วังแสง จ.ขอนแก่น และสมาชิกชุมชนร่วมกันพัฒนาชุมชนสู่ความยั่งยืน
จากปัญหาขาดแคลนน้ำ สู่น้ำสะอาดเพื่อสุขภาวะที่ดีและรายได้

โคคา-โคลาเป็นหนึ่งในภาคเอกชนมีการทำงานในเรื่องของน้ำทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ และเป้าหมายด้านความยั่งยืนของโคคา-โคลา ในการคืนน้ำสู่ชุมชนและธรรมชาติอย่างปลอดภัยในปริมาณเทียบเท่ากับปริมาณที่ใช้ในการผลิตเครื่องดื่มภายในปี 2563 ซึ่งเรียกว่า “การคืนน้ำกลับสู่ธรรมชาติ” ดำเนินการภายใต้ โครงการ “รักน้ำ” โดยมูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย ผ่านความร่วมมือกับองค์กรไม่แสวงผลกำไร เพื่อช่วยชุมชนหลายแห่งในประเทศไทยที่ประสบปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ หนึ่งในนั้นคือ “ชุมชนบ้านโนนข่า” ตำบลวังแสง อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น จากในอดีตเคยประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อการบริโภคในครัวเรือน และสภาพแวดล้อมที่ดีเพื่อการอยู่อาศัย แต่ปัจจุบัน สามารถพลิกฟื้นความแห้งแล้งสู่ความอุดมสมบูรณ์

ลักษณี ฐิติโชติรัตนา ผู้ใหญ่บ้านหญิงสุดแกร่งจากบ้านโนนข่า เล่าว่า “เมื่อก่อนบ้านโนนข่าแล้งมากจนเกิดไฟป่าอยู่บ่อยๆ ชาวบ้านไม่มีน้ำดื่มน้ำใช้จนต้องจำใจละทิ้งบ้านเกิดของตนเองไปหางานทำในพื้นที่อื่น ดิฉันในฐานะผู้ใหญ่บ้าน เมื่อพบว่าสาเหตุของปัญหาคือการขาดแคลนน้ำ จึงเดินทางไกลอย่างยากลำบากจากบ้านโนนข่าไปติดต่อกับรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อของบประมาณในการพัฒนาระบบประปาชุมชนอยู่หลายครั้ง”

ความตั้งใจของนางลักษณีและชาวบ้านในชุมชน ทำให้รัฐบาลท้องถิ่นเร่งประสานงานกับสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนในการให้ความช่วยเหลือ หลังจากทำหนังสือถึงราชพัสดุขอพัฒนาพื้นที่ที่ถูกทิ้งรกร้างแล้ว มูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย ภายใต้โครงการ “รักน้ำ” และสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน จึงเข้ามาให้ความช่วยเหลือวางระบบประปาแสงอาทิตย์เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำให้แก่ชุมชนบ้านโนนข่า รวมถึงผนึกกำลังในการสร้างองค์ความรู้เพื่อนำไปสู่การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน โดยได้ดำเนินการในปี พ.ศ. 2557

จากก้าวเล็กๆ ที่เกิดจากความมุ่งมั่นของผู้ใหญ่บ้านหญิงแกร่งแห่งบ้านบ้านโนนข่า และการสนับสนุนของมูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทยในโครงการ “รักน้ำ” และสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน บ้านโนนข่าที่ในอดีตมีแต่ความแห้งแล้ง และขาดความกลมเกลียวในชุมชน ได้พัฒนาสู่ชุมชนตัวอย่างด้านความยั่งยืน ที่มีความอุดมสมบูรณ์จากการร่วมแรงร่วมใจของทุกคนในชุมชน

แปลงเกษตรเขียวชอุ่มและอุดมสมบูรณ์ หลังการพัฒนาโดยโครงการ “รักน้ำ” ร่วมกับชาวบ้านบ้านโนนข่า จากที่เมื่อก่อนเป็นพื้นที่รกร้างและแห้งแล้ง
ปัจจุบัน ชาวบ้านบ้านโนนข่ามีน้ำสะอาดไว้ใช้อุปโภคบริโภคและการเกษตร รายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 2,500 บาท ประหยัดค่าไฟฟ้าได้เดือนละ 3,000 บาท หนี้สินลดลง ชาวบ้านเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการเกษตรและร่วมกันพัฒนาพื้นที่ที่เคยรกร้างให้เป็น “ครัวชุมชน” คือแปลงเกษตรเขียวขจีสำหรับบริโภคและจำหน่าย ประโยชน์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงนำความชุ่มชื้นกลับสู่ชุมชนแห้งแล้งเท่านั้น แต่ยังทำให้ชาวบ้านตระหนักถึงคุณค่าของการมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชน และเกิดความสามัคคี นอกจากนี้ ระบบประปาแสงอาทิตย์ยังได้ต่อยอดน้ำประปาไปยังอีก 2 หมู่บ้านข้างเคียงคือบ้านโนนข่าหมู่ 8 และหมู่ 10 รวมกว่า 500 ครัวเรือนอีกด้วย

“ในวันที่โครงการ “รักน้ำ” ก้าวเข้ามาให้ความช่วยเหลือ เป็นเสมือนมือแห่งความหวังในวันที่พวกเราสิ้นหวังและหิวโหย ต้องขอขอบคุณมูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย และสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนที่มอบชีวิตใหม่ให้กับชุมชนของเรา” นางลักษณี ฐิติโชติรัตนา ผู้ใหญ่บ้านบ้านโนนข่า กล่าวทิ้งท้าย

นันทิวัต ธรรมหทัย กรรมการ มูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย กล่าวว่า “ความสำเร็จของชุมชนบ้านโนนข่าภายใต้โครงการ “รักน้ำ” ถือเป็นผลจากการทำงานภายใต้สามเหลี่ยมความร่วมมือสู่ความยั่งยืน ระหว่างสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน หน่วยงานท้องถิ่น ชุมชน และโคคา-โคลา อย่างแท้จริง ปัจจุบันแม้โครงการ “รักน้ำ” ได้สร้างประโยชน์ให้แก่คนไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมกว่า 1 ล้านคน และโคคา-โคลาได้คืนน้ำกลับสู่ธรรมชาติมากกว่าปริมาณน้ำที่เราใช้ในการผลิตเครื่องดื่มของเราแล้ว แต่เราจะยังคงเดินหน้าทำงานอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศไทย”
กำลังโหลดความคิดเห็น