ในช่วงนี้ย่านธุรกิจต่างๆ ดูมีสีสันด้วยกิจกรรมต้อนรับเทศกาลปีใหม่ คนที่ได้ไปใกล้ชิดบรรยากาศของแสงไฟประดับสถานที่และเสียงดนตรีอวยพรคริสต์มาสและปีใหม่ เอื้ออำนวยให้รู้สึกคึกคัก มีความหวังว่าจากนี้ไปจะมีความสุขสมหวังดั่งคำอวยพรและของขวัญที่ให้แก่กันของหมู่ญาติมิตรและเพื่อนร่วมงาน
เมื่อบ่ายวันเสาร์ก่อน ผมเพิ่งได้จังหวะพาครอบครัวไปชมภาพยนตร์เรื่อง “พรจากฟ้า” ก็ได้รับประสบการณ์เช่นนี้ด้วย
ผมออกจากโรงหนังด้วยความปีติสุขและอิ่มเอมใจ และรับรู้ได้ว่าคนอื่นๆ ที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ก็ได้รับความสุขพร้อมความสนุกสไตล์หนังจากค่ายนี้
แม้จะบอกว่ามี “พรพิเศษ” ทำให้เกิดหนังรักเรื่องนี้ กระนั้นสัปดาห์แรกที่เข้าฉายต้นเดือนธันวาคมก็มีคนดูน้อยผิดคาด
แต่เพราะความโดดเด่นของ 3 เพลงพระราชนิพนธ์ อีกทั้งเนื้อเรื่องและความสามารถของนักแสดง จนเกิดกระแสการ “บอกต่อ” ในการสื่อสารของสังคมยุคใหม่ที่พร้อมจะสนับสนุนเรื่องที่สมคุณค่าและด้วยกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดที่โดนใจ ถึงตอนนี้เครื่องติดคนดูมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดมีหลายองค์กรเหมารอบจัดมอบความสุขแก่กัลยาณมิตรด้วยหนังเรื่องนี้
พรจากฟ้า (A Gift) เป็นภาพยนตร์ที่บริษัทดีจีเอชสร้างขึ้นเพื่อน้อมรำลึกและร่วมสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อเป็นของขวัญให้ผู้ชมต้อนรับปี 2560
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรักของหนุ่มสาว 3 คู่ร้อยเรียงเกี่ยวข้องกัน โดยได้รับพระบรมราชานุญาตให้เชิญเพลงพระราชนิพนธ์ 3 เพลงเป็นส่วนสำคัญในเนื้อเรื่อง คือ “ยามเย็น” ได้ผู้กำกับ ชยนพ บุญประกอบ ร่วมกับ เกรียงไกร วชิรธรรมพร “Still on My Mind” ผู้กำกับ คือ นิธิวัฒน์ ธราธร และ “พรปีใหม่” ผู้กำกับ คือ จิระ มะลิกุล
เก้ง-จิระ มะลิกุล 1 ใน 4ผู้กำกับมือดีของหนังเรื่องนี้พูดถึง “พรปีใหม่” บทเพลงพระราชนิพนธ์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดภาพยนตร์รักที่มอบดนตรีเป็นของขวัญให้กับทุกคนว่า “ผมกับทีมเขียนบทมีความคิดที่อยากทำหนังถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมานานแล้ว จนกระทั่งเดือนธันวาคม ปี2558 ผมได้แรงบันดาลใจจากข้อมูลที่พระองค์ท่านพระราชทานเพลงพรปีใหม่ให้เป็นของขวัญแก่ประชาชนชาวไทยเมื่อปี 2495 ซึ่งผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งพิเศษและยิ่งใหญ่มาก”
“ยิ่งได้อ่านหนังสือที่ตีพิมพ์ข้อความที่พระองค์ท่านพระราชทานสัมภาษณ์ว่า “ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของข้าพเจ้า และมันก็อยู่ในชีวิตของทุกๆ คน” จึงเกิดแรงบันดาลใจในการทำหนังในมุมที่ว่า ดนตรีคือของขวัญด้วยบทเพลงถือว่าสร้างสรรค์มาก”
ด้วยเนื้อร้องที่ว่า....ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้า ให้บรรดาปวงท่านสุขศรี โปรดประทานพรโดยปรานี ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย....ทำให้คนไทยรู้สึกมีความหวัง ในการที่จะสู้ต่อไป และเพลงนี้ได้ถูกนำมาเปิดในทุกๆ ปี เป็นการส่งต่อความสุขให้กับคนไทยรุ่นต่อๆไปเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก
“เป็นสิ่งที่คนทำหนังอย่างพวกเราจะสามารถทำสิ่งนี้ถวายพระองค์ท่านได้ เราเริ่มโครงการนี้เมื่อต้นปี 2559 และพวกเราตั้งใจทำให้เสร็จฉายทันเดือนธันวาคมปีนี้ ท้ายที่สุดเราทำหนังเสร็จ แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถถวายงานให้พระองค์ท่านชมได้แล้ว แต่ด้วยเจตนารมณ์การส่งต่อความตั้งใจของพระองค์ท่านเป็นสิ่งที่เราต้องทำต่อไป”
“ผมรู้สึกว่าคนไทยทุกคนมีส่วนร่วมอยู่ในหนังเรื่องนี้ เพราะพระองค์ได้พระราชทานเนื้อร้องอวยพร “ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย” ครับ” ผู้กำกับจิระกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“Still on My Mind” บทเพลงพระราชนิพนธ์ที่พระองค์ท่านทรงพระราชนิพนธ์ทำนองและคำร้องเป็นภาษาอังกฤษด้วยพระองค์เองเป็นเพลงแรก
นิธิวัฒน์ ธราธร ผู้กำกับบอกว่า ชอบเพลงพระราชนิพนธ์ Still on my Mind ซึ่งไพเราะมาก ทั้งเมโลดี้และความหมายของเนื้อร้องช่างตรงกับประเด็นของหนังที่จะพูดถึงมากที่สุด เป็นเพลงรักเพลงหนึ่งที่มีความหมายสำหรับตัวละครในเรื่องที่มีคุณพ่อเป็นอัลไซเมอร์ และมิว นิษฐา จิรยั่งยืนกับซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ได้ฝึกเล่นเปียโนเพลงโปรดของพ่อให้ช่วยเยียวยาทั้งผู้ป่วยและผู้เล่นเป็นตัวละครในเรื่องนี้”
“ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้ทุกคนมีความสุข อย่างน้อยที่สุดก็จะได้รู้จักบทเพลงพระราชนิพนธ์ในอีกมุมมองหนึ่งที่หลายๆ คนอาจจะยังไม่เคยได้สัมผัสในความรู้สึกแบบนี้ มันดีต่อหัวใจมากครับ”
ขณะที่ ชยนพ บุญประกอบ และ เกรียงไกร วชิรธรรมพร เปิดเผยว่า ทั้งคู่เลือกเพลงจาก 48 เพลง แล้วชอบเพลงเดียวกันคือ “ยามเย็น” เพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก มีการเปรียบเปรยช่วงเวลาเย็นที่พระอาทิตย์ตกดินแล้วจะลาลับขอบฟ้า มันเหมือนการพลัดพรากจากกันของคนรัก ซึ่งมีความหมายตรงกับเนื้อเรื่องในหนังที่พระเอก นางเอก ได้มาเจอกัน ได้รักกัน แล้วก็ต้องจากกันในวันเดียวกัน
สำหรับ ณภัทร เสียงสมบุญ พระเอกของตอนที่มีเพลงพระราชนิพนธ์ “ยามเย็น” เป็นส่วนสำคัญ เขาเผยว่า ได้ฟังเพลงนี้มาตั้งแต่เด็กได้ไปค้นหาข้อมูล ตีความเนื้อเพลงทั้งเนื้อร้องและทำนอง จึงได้รู้ว่า นี่คือเพลงรักที่มีความหมายลึกซึ้ง ตรึงใจมาก ยิ่งได้ฟังในกองถ่ายทุกวัน ก็เริ่มอินกับเพลงนี้ และวันที่ถ่ายทำฉากสุดท้ายของหนัง ก็เป็นบรรยากาศของการจากลาของตัวละครตัวนี้ลาจากทีมงานทุกๆ คนที่ร่วมงานกันมา
“ทำให้รู้สึกว่าเพลงนี้มีความหมายสำหรับทุกๆ คน ที่มีโอกาสได้มาเจอกัน รู้จักกัน รักกัน และวันหนึ่งเราก็ต้องจากกันไป”
“นอกจากดนตรีคือของขวัญชั้นดีที่เราสามารถมอบความสุข ความประทับใจให้กับผู้รับแล้ว หนังพรจากฟ้า คือของขวัญที่พิเศษสำหรับผม นอกจากเป็นหนังเรื่องแรกแล้ว ยังเป็นหนังที่มีบทเพลงพระราชนิพนธ์ของพระองค์ท่านเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต”
ขณะที่ วิโอเลต วอร์เทียร์ นางเอกคู่ของณภัทรกล่าวว่า “พอใกล้ช่วงปีใหม่ เพลงพรปีใหม่ เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ ที่เหมือนเป็นการอวยพรให้เริ่มต้นในปีที่ดีและให้ทุกคนมีความสุข เพลงเหมือนเป็นตัวแทนของความสุขที่ส่งมอบให้กัน ปกติเราจะให้ของขวัญวันพ่อ วันคริสต์มาส วันปีใหม่ เราจะให้ของขวัญกัน หนังเรื่องนี้จะเป็นตัวแทน เป็นของขวัญให้กับทุกคนได้รับความสุขในปีใหม่นี้ ทั้งรอยยิ้ม น้ำตาและความสุข”
ข้อคิด..
ปีใหม่นี้ผมได้รับของขวัญที่คุ้มค่าผ่านภาพยนตร์ “พรจากฟ้า” ที่เป็นความรู้สึกปีติสุขจริงๆ
แม้ผู้เขียนบทมิได้กล่าวถึงพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 แต่การเชื่อมโยงเนื้อเรื่องกับเสียงเพลงที่มีความไพเราะและสุนทรีย์ของเนื้อเพลงพระราชนิพนธ์ ผู้คนที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็รำลึกถึงพระอัจฉริยภาพด้านการดนตรีของพระองค์ท่าน พร้อมกับความรู้สึกอีกหลายมิติ
ได้ประทับใจกับรักแรกพบของพระ-นางคู่แรกที่ความสัมพันธ์ทางใจเริ่มขึ้นและการจากลาเมื่อเสร็จงานเลี้ยงนักเรียนทุนไปต่างประเทศ เพียงแค่หนึ่ง “ยามเย็น”
รู้สึกซาบซึ้งกับความกตัญญูของนางเอกอีกคนที่ยอมลาออกจากงานมาเหน็ดเหนื่อย ดูแลพ่อที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ และหาเวลาฝึกซ้อมเปียโนด้วยเพลงโปรดของแม่ “Still on Mind” Mind ที่มีส่วนช่วยฟื้นฟูความสุขของพ่อ
ตอนสุดท้ายของหนังได้สนุกและลุ้นช่วยวงดนตรีสมัครเล่นที่รวมตัวกันของพนักงานฝ่ายต่างๆ ที่แอบซ้อมดนตรีในออฟฟิศหลังเลิกงาน เป็นความสุขและความร่วมใจของคนรักเสียงเพลงจนชนะใจประธานบริษัทที่ตกลงอนุมัติงบ
ทำห้องซ้อมดนตรี และวงนี้ได้เตรียมเพลง “พรปีใหม่” เป็นของขวัญความสุขแก่ทุกคน
ผมเกิดปิติสุขที่ได้เห็นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของพนักงานที่มีความสุขขณะเล่นดนตรี ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อความร่วมมือในการทำงานให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพเกิดความสัมพันธ์ที่ดีและสุขภาพกายใจของพนักงาน
CSR ของผู้บริหารกิจการจึงเกิดขึ้นทั้งบนจอหนังและผู้ผลิตหนังเรื่องนี้ที่ส่งเสริมสังคมที่ดี
ประชาชนทุกคนก็มีส่วนร่วมได้ โดยซื้อบัตรชมในราคาเพียง 99 บาท (เฉพาะที่นั่งปกติ) บริษัทจีดีเอชจำนำรายได้ส่วนหนึ่งสมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
ยิ่งกว่านั้น วันส่งท้ายปี 31 ธันวาคมศกนี้ เวลา 20.30 น. ยังใจดีฉายให้ดูฟรีทางช่อง One 31 ด้วย
suwatmgr@gmail.com
เมื่อบ่ายวันเสาร์ก่อน ผมเพิ่งได้จังหวะพาครอบครัวไปชมภาพยนตร์เรื่อง “พรจากฟ้า” ก็ได้รับประสบการณ์เช่นนี้ด้วย
ผมออกจากโรงหนังด้วยความปีติสุขและอิ่มเอมใจ และรับรู้ได้ว่าคนอื่นๆ ที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ก็ได้รับความสุขพร้อมความสนุกสไตล์หนังจากค่ายนี้
แม้จะบอกว่ามี “พรพิเศษ” ทำให้เกิดหนังรักเรื่องนี้ กระนั้นสัปดาห์แรกที่เข้าฉายต้นเดือนธันวาคมก็มีคนดูน้อยผิดคาด
แต่เพราะความโดดเด่นของ 3 เพลงพระราชนิพนธ์ อีกทั้งเนื้อเรื่องและความสามารถของนักแสดง จนเกิดกระแสการ “บอกต่อ” ในการสื่อสารของสังคมยุคใหม่ที่พร้อมจะสนับสนุนเรื่องที่สมคุณค่าและด้วยกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดที่โดนใจ ถึงตอนนี้เครื่องติดคนดูมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดมีหลายองค์กรเหมารอบจัดมอบความสุขแก่กัลยาณมิตรด้วยหนังเรื่องนี้
พรจากฟ้า (A Gift) เป็นภาพยนตร์ที่บริษัทดีจีเอชสร้างขึ้นเพื่อน้อมรำลึกและร่วมสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อเป็นของขวัญให้ผู้ชมต้อนรับปี 2560
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรักของหนุ่มสาว 3 คู่ร้อยเรียงเกี่ยวข้องกัน โดยได้รับพระบรมราชานุญาตให้เชิญเพลงพระราชนิพนธ์ 3 เพลงเป็นส่วนสำคัญในเนื้อเรื่อง คือ “ยามเย็น” ได้ผู้กำกับ ชยนพ บุญประกอบ ร่วมกับ เกรียงไกร วชิรธรรมพร “Still on My Mind” ผู้กำกับ คือ นิธิวัฒน์ ธราธร และ “พรปีใหม่” ผู้กำกับ คือ จิระ มะลิกุล
เก้ง-จิระ มะลิกุล 1 ใน 4ผู้กำกับมือดีของหนังเรื่องนี้พูดถึง “พรปีใหม่” บทเพลงพระราชนิพนธ์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดภาพยนตร์รักที่มอบดนตรีเป็นของขวัญให้กับทุกคนว่า “ผมกับทีมเขียนบทมีความคิดที่อยากทำหนังถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมานานแล้ว จนกระทั่งเดือนธันวาคม ปี2558 ผมได้แรงบันดาลใจจากข้อมูลที่พระองค์ท่านพระราชทานเพลงพรปีใหม่ให้เป็นของขวัญแก่ประชาชนชาวไทยเมื่อปี 2495 ซึ่งผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งพิเศษและยิ่งใหญ่มาก”
“ยิ่งได้อ่านหนังสือที่ตีพิมพ์ข้อความที่พระองค์ท่านพระราชทานสัมภาษณ์ว่า “ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของข้าพเจ้า และมันก็อยู่ในชีวิตของทุกๆ คน” จึงเกิดแรงบันดาลใจในการทำหนังในมุมที่ว่า ดนตรีคือของขวัญด้วยบทเพลงถือว่าสร้างสรรค์มาก”
ด้วยเนื้อร้องที่ว่า....ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้า ให้บรรดาปวงท่านสุขศรี โปรดประทานพรโดยปรานี ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย....ทำให้คนไทยรู้สึกมีความหวัง ในการที่จะสู้ต่อไป และเพลงนี้ได้ถูกนำมาเปิดในทุกๆ ปี เป็นการส่งต่อความสุขให้กับคนไทยรุ่นต่อๆไปเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก
“เป็นสิ่งที่คนทำหนังอย่างพวกเราจะสามารถทำสิ่งนี้ถวายพระองค์ท่านได้ เราเริ่มโครงการนี้เมื่อต้นปี 2559 และพวกเราตั้งใจทำให้เสร็จฉายทันเดือนธันวาคมปีนี้ ท้ายที่สุดเราทำหนังเสร็จ แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถถวายงานให้พระองค์ท่านชมได้แล้ว แต่ด้วยเจตนารมณ์การส่งต่อความตั้งใจของพระองค์ท่านเป็นสิ่งที่เราต้องทำต่อไป”
“ผมรู้สึกว่าคนไทยทุกคนมีส่วนร่วมอยู่ในหนังเรื่องนี้ เพราะพระองค์ได้พระราชทานเนื้อร้องอวยพร “ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย” ครับ” ผู้กำกับจิระกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“Still on My Mind” บทเพลงพระราชนิพนธ์ที่พระองค์ท่านทรงพระราชนิพนธ์ทำนองและคำร้องเป็นภาษาอังกฤษด้วยพระองค์เองเป็นเพลงแรก
นิธิวัฒน์ ธราธร ผู้กำกับบอกว่า ชอบเพลงพระราชนิพนธ์ Still on my Mind ซึ่งไพเราะมาก ทั้งเมโลดี้และความหมายของเนื้อร้องช่างตรงกับประเด็นของหนังที่จะพูดถึงมากที่สุด เป็นเพลงรักเพลงหนึ่งที่มีความหมายสำหรับตัวละครในเรื่องที่มีคุณพ่อเป็นอัลไซเมอร์ และมิว นิษฐา จิรยั่งยืนกับซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ได้ฝึกเล่นเปียโนเพลงโปรดของพ่อให้ช่วยเยียวยาทั้งผู้ป่วยและผู้เล่นเป็นตัวละครในเรื่องนี้”
“ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้ทุกคนมีความสุข อย่างน้อยที่สุดก็จะได้รู้จักบทเพลงพระราชนิพนธ์ในอีกมุมมองหนึ่งที่หลายๆ คนอาจจะยังไม่เคยได้สัมผัสในความรู้สึกแบบนี้ มันดีต่อหัวใจมากครับ”
ขณะที่ ชยนพ บุญประกอบ และ เกรียงไกร วชิรธรรมพร เปิดเผยว่า ทั้งคู่เลือกเพลงจาก 48 เพลง แล้วชอบเพลงเดียวกันคือ “ยามเย็น” เพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก มีการเปรียบเปรยช่วงเวลาเย็นที่พระอาทิตย์ตกดินแล้วจะลาลับขอบฟ้า มันเหมือนการพลัดพรากจากกันของคนรัก ซึ่งมีความหมายตรงกับเนื้อเรื่องในหนังที่พระเอก นางเอก ได้มาเจอกัน ได้รักกัน แล้วก็ต้องจากกันในวันเดียวกัน
สำหรับ ณภัทร เสียงสมบุญ พระเอกของตอนที่มีเพลงพระราชนิพนธ์ “ยามเย็น” เป็นส่วนสำคัญ เขาเผยว่า ได้ฟังเพลงนี้มาตั้งแต่เด็กได้ไปค้นหาข้อมูล ตีความเนื้อเพลงทั้งเนื้อร้องและทำนอง จึงได้รู้ว่า นี่คือเพลงรักที่มีความหมายลึกซึ้ง ตรึงใจมาก ยิ่งได้ฟังในกองถ่ายทุกวัน ก็เริ่มอินกับเพลงนี้ และวันที่ถ่ายทำฉากสุดท้ายของหนัง ก็เป็นบรรยากาศของการจากลาของตัวละครตัวนี้ลาจากทีมงานทุกๆ คนที่ร่วมงานกันมา
“ทำให้รู้สึกว่าเพลงนี้มีความหมายสำหรับทุกๆ คน ที่มีโอกาสได้มาเจอกัน รู้จักกัน รักกัน และวันหนึ่งเราก็ต้องจากกันไป”
“นอกจากดนตรีคือของขวัญชั้นดีที่เราสามารถมอบความสุข ความประทับใจให้กับผู้รับแล้ว หนังพรจากฟ้า คือของขวัญที่พิเศษสำหรับผม นอกจากเป็นหนังเรื่องแรกแล้ว ยังเป็นหนังที่มีบทเพลงพระราชนิพนธ์ของพระองค์ท่านเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต”
ขณะที่ วิโอเลต วอร์เทียร์ นางเอกคู่ของณภัทรกล่าวว่า “พอใกล้ช่วงปีใหม่ เพลงพรปีใหม่ เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ ที่เหมือนเป็นการอวยพรให้เริ่มต้นในปีที่ดีและให้ทุกคนมีความสุข เพลงเหมือนเป็นตัวแทนของความสุขที่ส่งมอบให้กัน ปกติเราจะให้ของขวัญวันพ่อ วันคริสต์มาส วันปีใหม่ เราจะให้ของขวัญกัน หนังเรื่องนี้จะเป็นตัวแทน เป็นของขวัญให้กับทุกคนได้รับความสุขในปีใหม่นี้ ทั้งรอยยิ้ม น้ำตาและความสุข”
ข้อคิด..
ปีใหม่นี้ผมได้รับของขวัญที่คุ้มค่าผ่านภาพยนตร์ “พรจากฟ้า” ที่เป็นความรู้สึกปีติสุขจริงๆ
แม้ผู้เขียนบทมิได้กล่าวถึงพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 แต่การเชื่อมโยงเนื้อเรื่องกับเสียงเพลงที่มีความไพเราะและสุนทรีย์ของเนื้อเพลงพระราชนิพนธ์ ผู้คนที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็รำลึกถึงพระอัจฉริยภาพด้านการดนตรีของพระองค์ท่าน พร้อมกับความรู้สึกอีกหลายมิติ
ได้ประทับใจกับรักแรกพบของพระ-นางคู่แรกที่ความสัมพันธ์ทางใจเริ่มขึ้นและการจากลาเมื่อเสร็จงานเลี้ยงนักเรียนทุนไปต่างประเทศ เพียงแค่หนึ่ง “ยามเย็น”
รู้สึกซาบซึ้งกับความกตัญญูของนางเอกอีกคนที่ยอมลาออกจากงานมาเหน็ดเหนื่อย ดูแลพ่อที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ และหาเวลาฝึกซ้อมเปียโนด้วยเพลงโปรดของแม่ “Still on Mind” Mind ที่มีส่วนช่วยฟื้นฟูความสุขของพ่อ
ตอนสุดท้ายของหนังได้สนุกและลุ้นช่วยวงดนตรีสมัครเล่นที่รวมตัวกันของพนักงานฝ่ายต่างๆ ที่แอบซ้อมดนตรีในออฟฟิศหลังเลิกงาน เป็นความสุขและความร่วมใจของคนรักเสียงเพลงจนชนะใจประธานบริษัทที่ตกลงอนุมัติงบ
ทำห้องซ้อมดนตรี และวงนี้ได้เตรียมเพลง “พรปีใหม่” เป็นของขวัญความสุขแก่ทุกคน
ผมเกิดปิติสุขที่ได้เห็นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของพนักงานที่มีความสุขขณะเล่นดนตรี ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อความร่วมมือในการทำงานให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพเกิดความสัมพันธ์ที่ดีและสุขภาพกายใจของพนักงาน
CSR ของผู้บริหารกิจการจึงเกิดขึ้นทั้งบนจอหนังและผู้ผลิตหนังเรื่องนี้ที่ส่งเสริมสังคมที่ดี
ประชาชนทุกคนก็มีส่วนร่วมได้ โดยซื้อบัตรชมในราคาเพียง 99 บาท (เฉพาะที่นั่งปกติ) บริษัทจีดีเอชจำนำรายได้ส่วนหนึ่งสมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
ยิ่งกว่านั้น วันส่งท้ายปี 31 ธันวาคมศกนี้ เวลา 20.30 น. ยังใจดีฉายให้ดูฟรีทางช่อง One 31 ด้วย
suwatmgr@gmail.com