เมื่อเร็วๆ นี้ โจเซฟ ฮง กรรมการผู้จัดการ บ๊อช ประเทศไทย และพนักงานของบ๊อชกว่า 20 คน ร่วมแสดงพลังจิตอาสาที่มูลนิธิมือต่อมือ (Hand-to-Hand) ร่วมบริจาคเงินสนับสนุนและมอบสิ่งของจำเป็นให้กับมูลนิธิ Hand to Hand ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ให้การสนับสนุนเด็กกำพร้าและเด็กด้อยโอกาสอย่างครอบคลุม ทั้งด้านการศึกษา ความเป็นอยู่ การรักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายประจำวัน
“นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นที่มีมาอย่างยาวนานของบ๊อช ประเทศไทย ที่ต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคมโดยการสนับสนุนและพัฒนาด้านสุขภาพการศึกษา และความมั่นคงปลอดภัยให้กับเด็กด้อยโอกาสในประเทศไทย” โจเซฟ ฮง กล่าว และว่า
การรับผิดชอบต่อสังคมและเยาวชนรุ่นหลังเป็นสิ่งที่บ๊อชปฏิบัติอย่างต่อเนื่องมายาวนาน ซึ่งในยุคแรกของบ๊อชที่นำโดย โรเบิร์ต บ๊อช ผู้ก่อตั้งบริษัทได้ริเริ่มโครงการด้านสวัสดิการสังคมให้กับพนักงานและครอบครัว อีกทั้งยังมีบทบาทในโครงการเพื่อการกุศลมากมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอีกด้วย
ปัจจุบัน มูลนิธิโรเบิร์ต บ๊อช เน้นการส่งเสริมบริการด้านสุขภาพสวัสดิการสังคม การศึกษาและการฝึกอบรม ศิลปะวัฒนธรรม และวิทยาศาตร์โดยยึดมั่นการผสมผสานวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการคำนึงถึงปัจจัยต่างๆทางสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นหลักอยู่เสมอ เพราะตระหนักดีว่าการดำเนินงานขององค์กรจะต้องสอดคล้องกับประโยชน์ที่สังคมจะได้รับและควบคุมให้ผลิตภัณฑ์และการบริการของบริษัทได้รับการปฏิบัติโดยยึดหลักความปลอดภัยของทุกฝ่ายการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
อนึ่ง มูลนิธิ Hand to Hand นั้นเล็งเห็นถึงสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ที่พึงมีเท่าเทียมกันในกลุ่มคนทุกวัย ดังนั้น มูลนิธิจึงเสาะหามาตรการในการปกป้องคุ้มครองเด็กกำพร้าและเด็กด้อยโอกาสโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ อายุ หรือศาสนา พร้อมสนับสนุนให้ความช่วยเหลือด้านเอกสารรับรองทางกฎหมาย การจัดหาอาหารเครื่องนุ่งห่ม การศึกษา รวมถึงทุนการศึกษาและการรักษาพยาบาล ปัจจุบันโรงเรียนสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนของมูลนิธิ Hand to Hand มีเด็กในการดูแล 46 คน และอีก 54 คนกำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนต่างๆด้วยทุนการศึกษาจากมูลนิธิ
นอกจากนี้ มูลนิธิยังก่อตั้งชมรมเพื่อเยาวชนโดยมีเด็กเฉลี่ยประมาณ 70 คน เข้าร่วมกิจกรรมในวันหยุดสุดสัปดาห์และยังมีโครงการเยี่ยมเรือนจำ ซึ่งปัจจุบันได้เพิ่มเวลาเยี่ยมจาก 1 วันต่อสัปดาห์ เป็น 3 วันต่อสัปดาห์ Hand to Handยังให้ความสำคัญต่อการให้ความรู้และอบรมเด็กนักเรียนเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงให้ความช่วยเหลือแก่องค์กรบริหารท้องถิ่นในการวางนโยบายเพื่อคุ้มครองเด็กอีกด้วย