xs
xsm
sm
md
lg

King of Green

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“...ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาที่มีความสำคัญควบคู่กับการพัฒนา ความเจริญก้าวหน้า ซึ่งเป็นปัญหาร่วมกันของทุกประเทศ กล่าวคือการพัฒนา ยิ่งรุดหน้าปัญหาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และภาวะมลพิษก็ยิ่งก่อตัว และทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่ง ที่กำลังประสบกับปัญหาดังกล่าวอยู่ในขณะนี้...” พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2545

•ในหลวงทรงมีพระราชกรณียกิจ ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ที่เกิดขึ้นจากพระอัจฉริภาพ และพระปรีชาสามารถ จนปวงไทยขนานนามในหลวงของเราว่า “ พระบิดาแห่งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ”

•โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จึงเป็นวิธีการทำนุบำรุง และปรับปรุงสภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เสริมสร้างความเป็นอยู่ของพสกนิกร อันนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (sustainable Development) ของประเทศไทย

ปัจจุบัน สิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาร่วมกันของทุกประเทศ กล่าวคือ การพัฒนายิ่งรุดหน้าปัญหาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและภาวะมลพิษก็ยิ่งก่อตัวและทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่กำลังประสบกับปัญหาดังกล่าวอยู่ในขณะนี้ เพราะการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาได้ให้ความสำคัญกับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ แต่ไม่ได้มีการวางแผนการจัดการที่เหมาะสมรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้น ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติที่เหลืออยู่มีสภาพเสื่อมโทรมลง และก่อปัญหาต่างๆ ด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและระบบนิเวศ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงให้มีการดำเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นวิธีการที่จะทำนุบำรุงและปรับปรุงสภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นในด้านต่างๆ อย่างการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้น ทรงเน้นงานการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของปัญหาน้ำเน่าเสีย

นับตั้งแต่ในหลวงของเรา ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2493 ท่านทรงมีพระราชกรณียกิจหลายด้านที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นด้านการอนุรักษ์น้ำ ดิน หรือป่าไม้ โดยพระราชกรณียกิจเหล่านี้ เกิดขึ้นจาก พระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถในการคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุง และแก้ไขทฤษฎีและวิธีการต่างๆ เพื่อให้สอดคล้อง กับสภาพความเป็นอยู่ของพสกนิกรและระบบนิเวศ อันจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (sustainable Development) ของ ประเทศไทยของเรา ดังนั้น เราจึงขนานนามในหลวงของเราว่า “ พระบิดาแห่งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ”
สายพระเนตรที่ยาวไกล ฟื้นชีวิต 3 นิเวศ ดิน น้ำ ป่า
“ หากปล่อยทิ้งไว้ จะกลายเป็นทะเลทรายในที่สุด ” พระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระเข้าอยู่หัว เมื่อคราวที่เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ตำบลห้วยทราย (5 เมษายน 2526) พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็น ความเสื่อมโทรมของพื้นที่โดยรอบพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ที่มีแต่ความแห้งแล้งและดินเสื่อมโทรมอย่างรุนแรง “ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ” จึงได้รับการจัดตั้งขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยมี กองกำกับการที่ 1 กองบังคับพิเศษ ตำรวจตระเวนชายแดน เป็นผู้ดูแลศูนย์ศึกษาฯ แห่งนี้
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ ดำเนินการพัฒนาพื้นที่ 3 ด้านหลักได้แก่
-การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีการดำเนินงานหลายวิธี อาทิ เช่น การปลูกหญ้าแฝก การสร้างฝายชะลอความชุ่มชื้นและการฟื้นฟูสภาพป่า
- การปลูกหญ้าแฝก (กำแพงธรรมชาติที่มีชีวิต) แบ่งการปลูกเป็น 2 ลักษณะคือ ปลูกขวางตามแนวระดับบนพื้นที่ลาดชัน เพื่อช่วยชะลอความเร็วของกระแสน้ำ ที่ชะล้างหน้าดินและปลูกเพื่อทลายดินที่แข็งเป็นดานให้สามารถใช้ประโยชน์ได้
- การสร้างความชุ่มชื้น ดำเนินการโดยการสร้างฝายแม้ว (Check dam) โดยการนำวัสดุตามธรรมชาติหรือที่มีอยู่ในพื้นที่มาใช้ปิดกั้นทางน้ำ ร่องเขาและพื้นที่ที่มีความลาดชันซึ่งอยู่ตอนบนของภูเขาเพื่อช่วยชะลอการไหลของน้ำให้ช้าลงและดักตะกอนไว้ และการทำคันดินซึ่งสามารถทำได้ 2 ลักษณะคือ คันดินกั้นน้ำ (Terracing) เป็ฯการสร้างคันดินขวางพื้นที่ลาดเอียง ในบริเวณที่ราบเชิงเขา เพื่อเก็บกักน้ำไว้ในพื้นที่ และคันดินเบนน้ำ (Diversion) เป็นการขุดดินให้เป็นร่อง หรือบางส่วนยกระดับคันดินให้สูงขึ้น เพื่อเชื่อมต่อกับคันดินกั้นน้ำ เมื่อมีฝนตกและปริมาณมาก น้ำจะสามารถไหลกระจายได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ คันดินทั้งสองแบบยังสามารถใช้เป็นถนนสัญจรไปมา และเป็นแนวป้องกันไฟป่าได้อีกด้วย

- การฟื้นฟูสภาพป่าไม้ ดำเนินการใน 5 ลักษณะ ได้แก่
1. ปลูกป่าสามอย่างประโยชน์สี่อย่าง ประโยชน์อย่างที่ 1 คือ การปลูกไม้โตเร็วเพื่อพัฒนาและสร้างหน้าดินขึ้นใหม่ รวมทั้งยังสามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ ประโยชน์อย่างที่ 2 คือ ปลูกไม้ดั้งเดิมที่มีความแข็งแรงและทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ ประโยชน์ที่ 3 คือ ปลูกไม้เศรษฐกิจหรือไม้ผล เพื่อนำไม้มาใช้ในอนาคต ประโยชน์ที่ 4 คือการอนุรักษ์ดินและน้ำ ช่วยสร้างความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่
2. ระบบภูเขาป่า คือการนำพลังงานแสงอาทิตย์ สูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำขึ้นไปใส่ถังพักน้ำที่ก่อสร้างไว้บนภูเขา ให้น้ำล้นและปล่อย ให้ไหลกระจายไปตามพื้นที่โดยรอบถังพักน้ำ แล้วปลูกต้นไม้ไว้รอบๆพื้นที่ วิธีการนี้ทำให้พันธุ์ไม้มีอัตราการรอดตายค่อนข้างสูง เป็นการปลูกป่าจากด้านบนลงสู่ด้านล่าง
3. การปลูกป่าโดยไม้ต้องปลูก ซึ่งเป็นผลที่ได้รับจากการสร้างระบบภูเขาป่า เนื่องจากพันธุ์ไม้ที่รอดตายและสามารถเจริญเติบโตได้ จะผลิดอกออกผล เมล็ดหรือผลที่แก่จะร่วงหล่น ทำให้เกิดการเจริญเติบโตเป็นต้นใหม่ หรือเมื่อไม่มีการบุกรุกพื้นที่ปล่อยทิ้งไว้ตามธรรมชาติในระยะเวลาหนึ่ง พืชต่างๆ ก็สามารถแตกหน่อและเจริญเติบโตเป็นต้นใหม่ได้ มีพืชพันธุ์ไม้ขึ้นเต็มร่องเขา เป็นการคืนป่าตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องปลูกสามารถประหยัดงบประมาณได้ด้วย
4. ระบบป่าเปียก เนื่องจากน้ำบางส่วนที่ไหลลงมาจากระบบภูเขาป่า จะไหลมาที่แนวฝายชะลอความชุ่มชื้นหรือฝายแม้ว (Check dam) ศูนย์ฯจะกระจายน้ำโดยใช้ท่อไม้ไผ่ ท่อสายยาง หรือท่อพีวีซีเจาะรูต่อขยายไปทางด้านข้าง ให้น้ำกระจายออกไป เพื่อสร้างความชุ่มชื้นในพื้นที่แล้วจึงทำการปลูกป่าเสริม
5. ป่าชายเลน เนื่องจากปริมาณน้ำที่ไหลจากพื้นที่ตอนบนของศูนย์ฯ จะไหลเข้าสู่ระบบฝายชะลอความชุ่มชื้นหรือฝายแม้ว (Check dam) คันดินกั้นน้ำและคันดินเบนน้ำ ส่วนที่เหลือจะไหลลงสู่แหล่งน้ำตอนล่างแล้วออกสู่ทะเล บริเวณคลองบางกราใหญ่และบางกราน้อย ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวมีสภาพเป็นป่าชายเลนและป่าชายหาด ในเขตพื้นที่ค่ายพระรามหก ทำให้เกิดความสมดุลในระบบนิเวศมากขึ้น
การพัฒนาแหล่งน้ำ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายฯ ได้ดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำโดยการจัดทำระบบเครือข่าย (อ่างพวง) มีการสร้างอ่างเก็บน้ำในพื้นที่จำนวน 4 อ่าง คือ อ่างเก็บน้ำห้วยตะแปด อ่างเก็บน้ำเขากระปุก อ่างเก็บน้ำห้วยทราย และอ่างเก็บน้ำหนองไทร แต่ละอ่างจะมีขนาดและความจุไม่เท่ากัน การทำงานของอ่างพวง ใช้หลักการให้อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ตอนบน ปล่อยน้ำลงมาเติมอ่างเก็บน้ำที่มีขนาดเล็กที่อยู่ตอนล่าง โดยการเชื่อมต่อท่อส่งน้ำในแต่ละอ่างเก็บน้ำเข้าหากัน ทำให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระราชดำริเน้นการปลูกป่า เพื่อฟื้นฟูป่าไม้ให้กลับสมบูรณ์ดังเดิม สามารถปลูกพืชชนิดต่างๆ ได้ ควบคู่กับการปลูกป่า การจัดการแหล่งสนับสนุนการปลูกป่า การปลูกพืช จัดระเบียบราษฎรที่เข้ามาอยู่อาศัย และทำกินในพื้นที่โครงการฯ อย่างถูกต้องตามหลักวิชาและสอดคล้องกับธรรมชาติ ให้ราษฎรเข้าร่วมดูแลรักษา ตลอดจนได้อาศัยผลผลิตจากป่า และเพาะปลูกพืชต่างๆ โดยไม่ต้องบุกรุกทำลายป่าอีกต่อไป มีการดำเนินงานดังนี้
- การส่งเสริมอาชีพ โดยส่งเสริมให้เกษตรกรประกอบอาชีพยึดหลักการตามแนวพระราชดำริ เช่น การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน และระบบวนเกษตร ฯลฯ
- สนับสนุนการจัดตั้งกลุ่มอาชีพ เพื่อผลิตสินค้า เสริมรายได้ให้กับครอบครัว เช่น กลุ่มแปรรูปผลผลิตทางเกษตร กลุ่มเจียระไนพลอย กลุ่มทำผ้าบาติก กลุ่มทำกะปิ กลุ่มออมทรัพย์ เป็นต้น
- ด้านสุขภาพอนามัย มีการส่งเสริมให้ชุมชนได้รับความรู้ด้านสุขภาพอนามัย จัดให้มีการตรวจสุขภาพเบื้องต้น การวางแผนครอบครัว เป็นต้น
- ด้านการศึกษา สนับสนุนวิทยากรให้กับโรงเรียนในพื้นที่ ปัจจุบันมีโรงเรียนอยู่ในความรับผิดชอบจำนวน 10 โรงเรียน และศูนย์เด็กก่อนวัยเรียน 1 แห่ง
- การเมือง การปกครอง สนับสนุนให้ราษฎรในชุมชนมีส่วนร่วม และมีบทบาทหน้าที่ในชุมชนของตนเอง การแสดงความคิดเห็น ตลอดจนการกำหนด ความจำเป็นพื้นฐานของท้องถิ่น เพื่อให้การพัฒนาท้องถิ่นเป็นไปตามความต้องการของชุมชน
ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระราชปณิธานมุ่งมั่น ที่จะแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหา เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรชาวไทยของพระองค์ ที่ได้ทรงริเริ่มและทรงเพียรพยายาม ที่จะพลิกฟื้นผืนดินแห่งนี้ ให้กลับคืนสู่ความสมดุลอย่างสอดคล้องและสัมพันธ์กัน ทั้งทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประชาชน เพื่อให้เป็น “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต” เป็น “ระบบการบริหารเบ็ดเสร็จที่จุดเดียว” นับเป็นรูปแบบใหม่ของการบริหารจัดการ ขณะนี้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้ประสบความสำเร็จแล้ว นับเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่แห่งการพัฒนา สมดังพระราชปณิธานที่ทรงวางไว้ทุกประการ
อ้างอิงข้อมูล : วารสารมูลนิธิชัยพัฒนา

หลักการ และทฤษฎีที่สำคัญ อันเนื่องมาจากพระราชดำริด้านสิ่งแวดล้อม
๑) ทฤษฎี "น้ำดีไล่น้ำเสีย" ได้ทรงนำหลักการบำบัดน้ำเสียโดยการทำให้เจือจางตามแนวทฤษฎีการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ "น้ำดีไล่น้ำเสีย" โดยใช้หลักการตามธรรมชาติแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก เป็นการใช้น้ำคุณภาพดีมาช่วยบรรเทาน้ำเน่าเสีย ดังพระราชดำรัสเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ในอำเภอธัญบุรี เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๒
"…แต่ ๓,๐๐๐ ไร่นั่นมันอยู่สูง จะนำน้ำโสโครกจากที่นี่ไปที่โน้นต้องสูบไปไม่ไหว แต่ว่าจะทำเป็นบึงใหญ่ที่จะเก็บน้ำได้สำหรับเวลาหน้าน้ำมีน้ำเก็บเอาไว้ หน้าแล้งก็ปล่อยลงมา ส่วนหนึ่งอาจปล่อยลงมาสำหรับล้างกรุงเทพ ได้เจือจางน้ำโสโครกในคลองต่างๆ…" (สำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม, ๒๕๓๔: ๓๑-๒)
อีกทั้งได้พระราชทานแนวพระราชดำริโดยรับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งเข้าไปตามคลองต่างๆ เช่น คลองบางเขน คลองบางซื่อ คลองแสนแสบ คลองเทเวศร์ และคลองบางลำภู เป็นต้น โดยกระแสน้ำจะไหลแผ่กระจายขยายไปตามคลองซอยที่เชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาอีกด้านหนึ่ง ดังนั้นเมื่อทำการปล่อยน้ำให้ไหลเวียนจากปากคลองไปปลายคลองได้อย่างเหมาะสม ก็ย่อมจะช่วยเจือจางน้ำเน่าเสียได้มากโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง (สำนักงาน กปร., ๒๕๔๐: ๑๐๑)
๒) การบำบัดน้ำเสียด้วยผักตบชวา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยในการปรับปรุงคุณภาพของแหล่งน้ำที่มีอยู่แล้ว เช่น บึงและหนองต่างๆ เพื่อทำเป็นแหล่งบำบัดน้ำเสีย โดยหนึ่งในจำนวนนั้นได้แก่ โครงการบึงมักกะสันอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีหลักการบำบัดน้ำเสีย ตามแนวทฤษฎีการพัฒนาโดยการกรองน้ำเสียด้วยผักตบชวา
๓) การบำบัดน้ำเสียด้วยการผสมผสานระหว่างพืชน้ำกับระบบเติมอากาศ ด้วยทรงห่วงใยในปัญหาน้ำเน่าเสียที่เกิดขึ้นในหนองหนองหาน จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นแหล่งรับน้ำเสียจากครัวเรือนในเขตเทศบาลเมืองสกลนคร ที่มีสภาพเกินขีดความสามารถในการรองรับของเสีย พระบาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระราชทานแนวพระราชดำริ ทฤษฎีการบำบัดน้ำเสียด้วยการผสมผสานระหว่างพืชน้ำกับระบบการเติมอากาศ ณ บริเวณหนองสนม-หนองหาน จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างวิธีธรรมชาติกับเทคโนโลยีแบบประหยัด โดยมีกรมประมงร่วมกับกรมชลประทานดำเนินการศึกษาและก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียในบริเวณดังกล่าว โดยมีระบบบำบัดด้วยพืชน้ำซึ่งเป็นวิธีการบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีธรรมชาติในพื้นที่ ๘๔.๕ ไร่ และได้มีการก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ (สำนักงานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, ๒๕๓๙: ๒๒๒)
๔) การบำบัดน้ำเสียด้วยระบบบ่อบำบัดและวัชพืชบำบัด โครงการวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลแหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงปัญหาภาวะมลพิษที่มีผลต่อการดำรงชีพของประชาชน อันเนื่องมาจากชุมชนเมืองต่างๆ ยังขาดระบบบำบัดน้ำเสียและการกำจัดขยะมูลฝอยที่ดีและมีประสิทธิภาพ จึงทรงให้มีการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวขึ้นในพื้นที่ ๑,๑๓๕ ไร่ โดยเป็นโครงการศึกษาวิจัยวิธีการบำบัดน้ำเสีย กำจัดขยะมูลฝอยและการรักษาสภาพป่าชายเลนด้วยวิธีธรรมชาติ
๕) กังหันน้ำชัยพัฒนา ในปัจจุบัน สภาพมลภาวะทางน้ำมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องใช้เครื่องกลเติมอากาศเพิ่มออกซิเจนเพื่อการบำบัดน้ำเสีย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยเกี่ยวกับอุปกรณ์การเติมอากาศ และทรงค้นคิดทฤษฎีบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีการเติมอากาศ โดยใช้วิธีทำให้อากาศสามารถละลายลงไปในน้ำเพื่อเร่งการเจริญเติบโตและการเพาะตัวอย่างรวดเร็วของแบคทีเรียจนมีจำนวนมากพอที่จะทำลายสิ่งสกปรกในน้ำให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว ตามแนวทฤษฎีการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ"กังหันน้ำชัยพัฒนา" ซึ่งเป็นรูปแบบสิ่งประดิษฐ์ที่เรียบง่าย ประหยัด เพื่อใช้ในการบำบัดน้ำเสียที่เกิดจากแหล่งชุมชนและแหล่งอุตสาหกรรม และได้มีการนำไปใช้งานทั่วประเทศ (สำนักงานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, ๒๕๓๙: ๒๑๘-๙)
๖) การกำจัดน้ำเสียโดยวิธีธรรมชาติ ทรงมีพระราชดำริให้ทำการศึกษา ทดลองวิจัยดูว่า จะใช้ปลาบางชนิดกำจัดน้ำเสียได้หรือไม่ ปลาเหล่านี้น่าจะเข้าไปกินสารอินทรีย์ในบริเวณแหล่งน้ำเสีย ซึ่งปรากฎว่าปลาบางสกุลมีอวัยวะพิเศษในการหายใจ เช่น ปลากระดี่ ปลาสลิด เหมาะแก่การเลี้ยงในน้ำเสีย และชอบกินสารอินทรีย์ จึงช่วยลดมลภาวะในแหล่งน้ำ วิธีการนี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการกำจัดน้ำเสียได้ ซึ่งจะมีต้นทุนต่ำ และสามารถเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำได้อีกทางหนึ่ง (สำนักงาน กปร., ๒๕๓๑: ๕๒)

ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (The Food and Agriculture Organization : FAO) ได้ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญสดุดีพระเกียรติคุณในด้านการพัฒนาการเกษตร (Agricola Medal) แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ ในฐานะที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอุทิศพระองค์ เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทย
โดยเฉพาะผู้ซึ่งประกอบอาชีพเพาะปลูก บำรุงรักษาน้ำ และบำรุงรักษาป่า ซึ่งทรงยึดหลัก "สนับสนุนการพัฒนาแบบยั่งยืนเพื่อความมั่นคงในอนาคต" เป็นหลักปฏิบัติ เพื่อให้ประจักษ์ชัดเจนจากความสำเร็จในด้านการพัฒนา โดยองค์การฯ สดุดีพระองค์ว่า ทรงพระปรีชาสามารถเกี่ยวกับความยุติธรรมของสังคม ซึ่งได้ปรากฏเห็นเป็นตัวอย่างจากนโยบายเรื่องการแบ่งที่ดินทำกินเพื่อเกษตรกรและผู้ทำนุบำรุงรักษาป่า ทรงวิริยะอุตสาหะในเรื่องการกักเก็บน้ำให้เพียงพอเพื่อประกันผลผลิตอาหาร การอนุรักษ์สันปันน้ำและป้องกันการกัดเซาะผิวดิน ทรงสนับสนุนเผยแพร่การเกษตรสมบูรณ์ ซึ่งรวบรวมแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูก และขยายพันธุ์สัตว์ให้เจริญเติบโตขึ้น
ตลอดจนการบำรุงผิวดิน ทรงมีพระอุตสาหะอันสูงส่งในการสงวนรักษาพันธุ์พืช ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อมนุษยชาติในการค้นคว้าเรื่องอาหาร ทั้งนี้ เนื่องจากทรงมีสายพระเนตรอันกว้างไกลในการที่จะทำให้โลกปราศจากความหิวโหย และประชาชนมีอาหารเพียงพอต่อการดำรงชีวิต
กำลังโหลดความคิดเห็น