แนว แอ็คชั่นต่อสู้
แพลตฟอร์ม PS5, PS4, Xbox Series, Xbox One, Switch, PC
เรตเกม ESRB: M เหมาะสำหรับผู้เล่นที่มีอายุ 17 ปีขึ้นไป
ภาคต่อเกมแอ็คชั่นสู้รบฟาดฟันดับลมหายใจอสูรที่สืบสานความดีงามจากภาคแรก แม้เรื่องราวอาจล้าหลังไม่ทันหนังโรงฯก็ตาม
"ดาบพิฆาตอสูร" การ์ตูนดังมาแรงที่กำลังเป็นกระแสในช่วงนี้ เนื่องจากเรื่องราวเวอร์ชันอนิเมะและภาพยนตร์ปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่ช่วงไคลแมกซ์แบบเต็มสูบ ซึ่งหากพูดถึงฟากฝั่งวิดีโอเกมแล้วก็คงไม่มีผลงานชิ้นไหนที่โดดเด่นเทียมเท่าแฟรนไชส์ Demon Slayer: Kimetsu no Yaiba – The Hinokami Chronicles ของสตูดิโอ CyberConnect2 ที่ล่าสุดการเดินทางต่อสู้ของทันจิโร่และเหล่าผองเพื่อนนักล่าอสูรก็ได้ดำเนินมาถึงจุดกึ่งกลางครึ่งทางในภาคหลักลำดับที่สองแล้ว
สำหรับเนื้อหาสตอรี่ในเกมภาคสองนี้จะหยิบนำฉากเหตุการณ์สำคัญๆจากอนิเมะ 3 ภาคหลักมาถ่ายทอดให้พวกเราได้ย้อนรำลึกกันอีกครั้ง โดยสตาร์ทเริ่มต้นที่เหตุการณ์ใน ย่านเริงรมย์ ที่พวกเราต้องไปช่วยเสาหลักเสียงออกตามหาเหล่าเมียๆที่หายตัวไป ต่อด้วยศึกปะทะใน หมู่บ้านช่างตีดาบ กับเรื่องวุ่นวายของเหล่านักรบผู้ขาดอาวุธคู่กาย และปิดท้ายด้วยภาค การสั่งสอนของเสาหลัก เพื่อฝึกฝนให้เหล่านักล่าอสูรหน้าใหม่เตรียมพร้อมรับพายุลูกใหญ่ที่กำลังจะมา แน่นอนว่าระหว่างเส้นทางทีมงานเขาต้องยัดเรื่องราวเสริมยิบย่อยเล็กๆน้อยๆเพื่อให้ผู้เล่นคลายเครียดพักเบรกจากการสู้รบและเป็นการยืดขยายแคมเปญให้ไม่สั้นกุดจนเกินไป แต่ก็ประวิงเวลาออกไปได้ไม่มากนักแค่ 7-8 ชั่วโมงก็จบแล้ว
อย่างที่บอก ด้วยปริมาณเนื้อหาวัตถุดิบในการปรุงแคมเปญค่อนข้างมีอยู่อย่างจำกัด ทางทีมพัฒนาจึงต้องมองหาอะไรมาแทรกให้ผู้เล่นได้ทำฆ่าเวลา นั่นจึงเป็นที่มาของเหล่ามินิเกมและกิจกรรมเสริมถอดสมองมากมายที่ขยันหยอดเข้ามาตลอดทั้งเกม อาทิ มินิเกมกดปุ่มตามจังหวะที่ปรากฏบนจอภาพ, ทำซับเควสต์ตามคำขอของชาวบ้าน หรือแม้กระทั่งการเดินสำรวจฉากเก็บไอเทมที่ซุกซ่อนอยู่ตามแม็พ ซึ่งบางครั้งหากโชคดีเราอาจได้ลูกแก้วทักษะเพิ่มความสามารถเอามาสวมใส่ติดตั้งลงไปในช่องสล็อต Gear ช่วยให้ตัวละครฝ่ายเราได้เปรียบเล็กน้อยยามต่อสู้แบบเกมอาร์พีจี
แต่ใช่ว่าโหมดเนื้อเรื่องของเกมจะมีเพียงแค่ความน่าเบื่อกลวงเปล่า เพราะเมื่อถึงคราวที่ตัวละครต้องออกโรงต่อสู้มันก็ทำให้เราสนุกลุกตื่นขึ้นมาจากโซฟาได้เหมือนกัน โดยระบบคอมแบทในภาคนี้จะต่อยอดมาจากภาคแรกที่เน้นความแคชชวลเข้าใจง่ายเหมาะสำหรับเกมเมอร์ทุกเพศวัย เน้นช่วงชิงจังหวะหาโอกาสเข้าตีคู่ต่อสู้แบบเกม 3D Arena Fighting ทั่วไป สามารถผสมกดท่าโจมตีปกติสลับกับท่าพิเศษเพื่อสร้างเป็นคอมโบ ในขณะที่เกจไฟลุกโชนที่สะสมอยู่ด้านล่างเมื่อเต็มหากเรากดปุ่ม L2 จะเป็นการ Boost เพิ่มพลังโจมตีรวมถึงขยายเวลาท่วงท่าคอมโบ และถ้ากดปุ่ม L2 ย้ำอีกครั้งตัวละครก็จะเข้าสู่สถานะ Surge ใช้ท่าพิเศษได้แบบไม่จำกัดชั่วขณะหนึ่ง แต่ถ้าเราเลือกกดปุ่ม R2 ก็จะเป็นการปล่อยท่าไม้ตายใหญ่ Ultimate อันรุนแรงออกไปแทน ดังนั้นจะเลือกใช้เกจนี้ยังไงก็ล้วนขึ้นอยู่กับกลยุทธ์แทคติกของแต่ละบุคคล
เรื่องภาพกราฟิกต้องบอกว่าภาคนี้ยังคงรักษามาตรฐานอันดีงามเอาไว้ได้เหมือนเดิม ทั้งจังหวะตอนคมดาบฟาดปะทะกันที่หนักแน่นสะใจจนคนดูรู้สึกได้ ทั้งเอฟเฟกต์ปราณธาตุต่างๆดิน น้ำ ลม ไฟ สายฟ้า และหมอกที่สวยงามพลิ้วไหว เคยเห็นมายังไงในอนิเมะ ตัวเกมก็จัดเสิร์ฟมาให้แบบนั้น ฉากซีนอารมณ์ดึงดราม่ากลับมาดูอีกครั้งก็ยังคงเรียกน้ำตาเราได้เสมอ เรียกว่างานวิชวลแสงสีภายในเกมล้วนคุณภาพคับแก้วจัดเต็มไม่แพ้เดอะมูวี่ แต่ก็ต้องขอเน้นย้ำว่าเราควรโฟกัสไปที่เฉพาะตัวละครกับท่วงท่าร่ายระบำอย่างเดียวนะ เนื่องจากพวกบรรดาฉากหลังบ้านเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆทางทีมพัฒนาเขาไม่ค่อยได้ใส่ใจรายละเอียดให้ความสำคัญกับมันสักเท่าไหร่ เพราะถ้าขืนทำแบบนั้นตัวเกมคงกินทรัพยากรหนัก เฟรมเรตอาจร่วงตกได้ในระหว่างการต่อสู้อันแสนดุเดือด
ด้านรายชื่อนักสู้ที่มีให้เลือกเล่นในภาคสองนี้ กว่าครึ่งหนึ่งจะถูกหยิบยกมาจากตัวเกมภาคแรกแล้วโปะเสริมทัพลงไปด้วยเหล่านักล่าอสูรและอสูรข้างขึ้นหน้าใหม่ๆที่ปรากฏตัวโผล่มาตามเนื้อเรื่อง ส่งผลให้ในภาคนี้เป็นครั้งแรกที่ฝั่งตัวละครเสาหลักมีให้เล่นกันแบบครบทีมพร้อมหน้า 9 คน ในขณะที่ฟากฝั่งของพวกอสูรนั้นคงต้องรอ DLC อัปเดตเสียตังค์เพิ่มในอนาคตเพราะเนื้อหาเกม ณ ปัจจุบันยังไปไม่ถึงภาคปราสาทไร้ขอบเขต เฉกเช่นเดียวกันกับตัวละครบอสใหญ่อย่าง "มุซัน คิบุตสึจิ" ที่แฟนคลับต้องอดใจรอให้ทาง เซก้า ปล่อยอัปเดตฟรีเข้ามาในภายหลัง
นอกเหนือจากโหมดเนื้อเรื่อง อีกหนึ่งโหมดที่เรามองว่าน่าสนใจไม่น้อยนั่นก็คือ Training Paths โหมดอาร์เขตสไตล์โร้กไลต์ที่ให้ผู้เล่นเลือกตัวละครแล้วเข้าไปต่อสู้ผ่านด่านทดสอบต่างๆ ระหว่างทางเราสามารถเลือกเส้นทางเดินแยกย่อยได้ว่าจะขึ้นบนหรือลงล่างเพื่อเก็บเอาบัฟที่ต้องการ ไล่ปราบคู่ต่อสู้ไปทีละด่านจนกระทั่งถึงด่านสุดท้ายที่เราต้องเผชิญหน้ากับบอสใหญ่เสาหลัก ถือเป็นโหมดที่สนุกท้าทายฝีมือเล่นวนซ้ำได้เรื่อยๆ แถมยังเป็นช่องทางวิเศษชั้นดีในการฟาร์มเลเวล Mastery ตัวละครอีกต่างหาก
ส่วนโหมดออนไลน์ที่เราไม่ค่อยอยากพูดถึงมันมากนัก นั่นเป็นเพราะว่ามันยังคงประสบปัญหาเรื่องเดิมๆไม่ต่างจากภาคแรก ฟีเจอร์ครอสเพลย์เล่นร่วมกันข้ามแพลตฟอร์มก็ไม่รองรับ เทคโนโลยี Netcode ก็ยังใช้ของเก่าแก่โบราณตั้งแต่สมัยเกมนารูโตะ จับคู่ผู้เล่นข้ามทวีปแทบเล่นด้วยกันไม่ได้ทั้งแลคทั้งหน่วง จากปัญหาทั้งหมดทั้งมวลจึงทำให้หาห้องหาคนเล่นออนไลน์ด้วยยากลำบาก ถ้าไม่ใช่ช่วงเวลาพีคจริงๆมันแทบเงียบเหงาเหมือนเกมร้าง นี่ขนาดผู้เขียนเลือกเปิดจับคู่แบบเสรีไม่ล็อกโซนแล้ว หวังเข้าไปเล่นสนุกขำๆโดนยำแพ้ยับช่างมันขอแค่ได้เศษแต้ม Kimetsu Points เอาไปซื้อของในร้านค้าเฉยๆยังรู้สึกหงุดหงิดหัวเสียกับการจับคู่ที่แสนเนิ่นนาน ถ้าหากเป็นเกมเมอร์สายแข่งจริงจังคงไม่ต้องสืบว่าจะหัวร้อนขนาดไหน
"Demon Slayer The Hinokami Chronicles 2 มันคือการต่อยอดที่ดีสำหรับแฟรนไชส์เกมดาบพิฆาตอสูรด้วยจำนวนตัวละครที่มากขึ้น ระบบเกมเพลย์ที่สนุกขึ้น และโหมดที่หลากหลายยิ่งกว่าเดิม ทว่าน่าเศร้าที่ตัวเกมยังคงติดคำสาปมาจากภาคแรก ไม่สามารถกำจัดเชื้อมะเร็งร้ายที่ทำคนเล่นหนีหายได้สำเร็จ ทุกอย่างจึงหยุดอยู่แค่คำว่า 'ดี' ทั้งๆที่ศักยภาพของมันสามารถไปไกลได้มากกว่านี้"
เกมเพลย์ | 8 |
กราฟิก | 8 |
โหมดเนื้อเรื่อง+อาร์เขต | 7 |
โหมดออนไลน์ | 6 |
ความคิดสร้างสรรค์ | 8 |
ภาพรวม | 7.4 |
สนับสนุนบทความรีวิวโดยบริษัท SEGA
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*