แนวเกม ชูตติ้ง
แพลตฟอร์ม PS5, Xbox Series, PC
เรตเกม PEGI: 18 เหมาะสำหรับผู้เล่นที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
ภาคต่อเกมชูตติ้งลานสังหารซอมบี้ที่พอมอบความสนุกบันเทิงแก่เหล่าผู้เล่นขาจรได้อยู่บ้าง ถึงแม้ว่าแฟนคลับเดนตายหลายคนจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
Killing Floor III มันคือผลงานเกมใหม่ล่าสุดของสตูดิโอ Tripwire Interactive ที่สานต่อแฟรนไชส์ถล่มล้างบางซอมบี้ด้วยจำนวนผู้เล่น Co-op ออนไลน์พร้อมกันมากถึงหกคน ซึ่งในภาคนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ฝูงสิ่งมีชีวิตที่ผ่านกระบวนการทางวิศวกรรมชีวภาพถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ควบคุมและปล่อยออกมาร่อนเร่ตามท้องถนน และมีเพียงฝ่ายต่อต้าน Nightfall อย่างพวกเราผู้เป็นความหวังเดียวของมนุษยชาติที่จะปราบปรามหยุดยั้งพวกมัน
ตัวเกมจะเป็นแนวยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่งที่ให้ผู้เล่นทั้งทีมร่วมมือช่วยเหลือกันกำจัดฝูงสมุนอสูรกายยิบย่อยที่ทยอยดาหน้ากันมาเป็นระลอก และต้องพยายามเอาตัวรอดพากันไปให้ถึงระลอกสุดท้ายที่จะมีเหล่าบอสใหญ่ประจำด่านปรากฏตัวโผล่ออกมา โดยระหว่างเวฟเราสามารถเก็บสะสมเหรียญทองไปแลกซื้อปลดล็อคหรืออัพเกรดอาวุธชุดเกราะเพื่อเสริมแกร่งให้กับตัวละครได้ ก็คล้ายกับโหมดซอมบี้ในซีรีส์ Call of Duty นั่นแหละนะ เพียงแค่เกมนี้จะค่อนข้างเป็นเส้นตรงและทำความเข้าใจได้ง่ายกว่าเกมนั้นมาก
เริ่มต้นมาจะมีโหมด Tutorial ที่ช่วยฝึกสอนการบังคับควบคุมมาให้ ทั้งการเลื่อนเป้าเล็งยิง เปิดใช้งานเอฟเฟกต์ชะลอเวลาหากยิงหัวซอมบี้ได้ติดต่อกัน ไปจนถึงวิ่งสไลด์ตัวขนานกับพื้นหรือปีนป่ายข้ามสิ่งกีดขวางอันเป็นลูกเล่นเสริมใหม่ในภาคนี้ อย่างไรก็ดีในมุมมองของผู้เขียนนี่เป็นเพียงการสอนเบสิคพื้นฐานที่ชาว FPS น่าจะคุ้นชินกันมาหมดแล้ว ไม่ค่อยจำเป็นต้องสอนสักเท่าไหร่ ตรงข้ามพอเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนสงสัยใคร่รู้อย่างเรื่องการใช้งานสกิลความสามารถพิเศษของตัวละครแต่ละคลาส ตัวเกมกลับละเลยเพิกเฉยไม่ยอมสอนซะอย่างนั้น ปล่อยให้ผู้เล่นต้องไปลองผิดลองถูกปล่อยไก่กันเอาเองในสนามจริง
พูดถึงระบบคลาส (Perk) ในเกมเวอร์ชัน ณ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกันจำนวน 6 สายอาชีพ ได้แก่ Sharpshooter, Commando, Engineer, Medic, Firebug และ Ninja ซึ่งแต่ละคลาสล้วนมีจุดเด่น จุดด้อย สกิลความสามารถ และอาวุธปืนที่ถนัดแตกต่างกันไป ทว่าอย่างไรก็ตาม เวลาเล่นจริงแล้วตัวเกมกลับไม่ได้ฟิกซ์กำหนดตายตัวว่าคุณต้องใช้แค่อาวุธหรืออุปกรณ์แกดเจ็ตประจำตัวละครสายที่คุณเลือกไปจนกระทั่งจบแมตช์ เพราะระหว่างทางในหน้าร้านค้าช่วงพักเบรกจากการต่อสู้ ผู้เล่นสามารถกำตังค์ไปเลือกซื้ออาวุธของคลาสอื่นมาใช้งานผสมสร้างบิลด์แปลกๆได้ตามใจ อาทิเช่น เล่นสายฮีลถือปืนกลเบาอยู่ อยากยิงแรงๆก็ไปซื้อปืนลูกซองของสายวิศวกรมาใช้แทนได้ หรือเล่นสายแม่นปืนซูมสไนจากระยะไกลอยู่ดีๆ เกิดอยากเปลี่ยนบรรยากาศก็ไปคว้าธนูกับดาบของสายนินจามาฟาดฟันระยะใกล้ได้อะไรแบบนี้เป็นต้น ทำให้เกมเพลย์แลดูมีมิติหลากหลายไม่น่าเบื่อเกินไป
ถึงแม้เกมนี้จะโอ้อวดโชว์หราว่าข้านั้นถูกสร้างขึ้นและรันบนเทคโนโลยี Unreal Engine 5 อันโด่งดัง แต่พวกเราจงอย่าไปเคลิ้มตามคาดหวังว่าภาพกราฟิกมันจะสวยงามตระการตาเหมือนผลงานอันเรียลฯห้าอื่นๆ จริงอยู่ที่แสงเงาสีสันมันมอบฟีลอารมณ์ที่ทั้งมืดดาร์คและดิบเถื่อนได้ดี แต่พวกโมเดลศัตรูหากซูมดูชัดๆจะแอบหยาบเพราะต้องลดทอนคุณภาพเพื่อเน้นปริมาณยูนิตเข้าว่า เอฟเฟกต์ระเบิดเปลวไฟก็ยังดูคล้ายกับเกมสมัยก่อน แถมที่แย่ไปกว่านั้นคือเรื่อง Performance ของเกมที่กระตุกขัดใจเราอยู่บ่อยครั้งขนาดเปิดรันบนเครื่อง เพลย์สเตชัน 5 โปร ยังไม่สามารถรักษาเฟรมเรตให้นิ่งคงที่ 60 เฟรมฯได้ตลอดเวลา ทั้งที่ดนตรีเมทัลพื้นหลังจะพยายามช่วยบิ๊วเต็มที่ให้เรารู้สึกเหมือนกำลังนั่งเล่นเกม DOOM (เกรดบี) แต่สุดท้ายเราก็มิอาจทำใจผงกหัวตามได้ลง
องค์ประกอบจุดขายสำคัญในภาคนี้ที่เห็นเด่นชัดก็น่าจะเป็น ระบบม็อดปรับแต่งปืน จากการเอาเศษชิ้นส่วนวัสดุที่ได้รับมาคราฟต์ของแต่งปืนต่างๆอย่างพวกหัวกระสุนหรือกล้องเล็ง ทำให้ปืนแต่ละกระบอกมีความโดดเด่นน่าใช้แถมมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นด้วย แต่ก็ต้องแลกกับราคาซื้อหน้าช็อปร้านค้าในดันเจี้ยนที่จะแพงขึ้นตามระดับความเทพของมัน ส่วนสกิลอะบิลิตี้ใหม่ๆของแต่ละคลาสเราก็สามารถเลือกอัพเกรดได้เหมือนกัน เรียกว่ายิ่งเล่นคลาสไหนบ่อยๆ ตัวละครสายนั้นก็จะยิ่งเก่งกาจแพรวพราว เช่นเดียวกับเหล่าของรางวัลในแบทเทิลพาส ถ้าเรายิ่งขยันเข้าเล่นเกมทำชาเลนจ์รายวัน รายสัปดาห์สะสม XP ได้มากๆ ก็จะปลดล็อคเครื่องประดับสวยๆเท่ๆมาสวมใส่ได้ไวขึ้นนั่นเอง
การที่ทีมพัฒนามีประสบการณ์มาแล้วถึงสองภาคมันก็น่าจะช่วยให้อะไรๆดีขึ้น แต่ไม่รู้ทำไมตัวเกมภาคสามเราถึงได้พบปัญหาหงุดหงิดใจแบบไม่น่าให้อภัยอยู่หลายเรื่อง เรื่องแรกคือ Scoreboard โชว์คะแนนผู้เล่นภายในทีมที่เวลากดเรียกดูปุ๊บตัวละครเราต้องหยุดแช่แน่นิ่งไปพร้อมกันด้วย ขยับเดินไปไหนไม่ได้ราวกับกดปุ่มหยุด Pause (แต่ศัตรูในเกมไม่หยุดตามนะ) เรื่องที่สองคือ Hub ศูนย์บัญชาการที่พยายามทุ่มทุนสร้างขึ้นมาทดแทนหน้าต่างเมนูแบบดั้งเดิม แต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่การถ่วงเวลาให้เราลากขาเดินไปหาเมนูเท่านั้น กดรับภารกิจทีก็ต้องเหนื่อยเดินขึ้นเฮลิคอปเตอร์เองทุกครั้งไป เรื่องต่อมาคือเวลาอัพสกิลหรือปรับแต่งรูปลักษณ์ของตัวละครแต่ละสาย พอกดเปลี่ยนสลับคลาสทีตัวเกมจะทำการรีเซตโหลดฉากใหม่พาเรากลับไปเริ่มต้นที่จุดสตาร์ททางเข้าฮับเสมอทำให้เสียเวลาเอามากๆ นอกจากนี้ลูกเล่นชะลอเวลาในระหว่างการสู้รบ ผู้เล่นอย่างเราก็ไม่สามารถกดสั่งบังคับได้ตามใจ เพราะมันจะเปิดใช้งานแบบอัตโนมัติในทันทีที่หลอดเต็ม ทำให้บ่อยครั้งเราเผลอฆ่าศัตรูตัวสุดท้ายตอนจบเวฟแล้วเกจดันเต็มเด้งขึ้นมาพอดี เอฟเฟกต์สโลว์โมชันถูกเปิดใช้งานไปฟรีๆอย่างน่าเสียดาย ซึ่งปัญหาต่างๆที่เราหยิบยกขึ้นมาพูดล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเบสิคที่ไม่ควรพลาดผิดเลยด้วยซ้ำ
"หากเทียบกับเกมภาคสองไม่ว่ามองมุมไหน Killing Floor III มันก็ดูดร็อปลงไปจากเดิม เอาแค่เรื่องปริมาณเนื้อหาคอนเทนต์มันก็สู้ไม่ได้แล้วโดยเฉพาะจำนวนคลาสตัวละครและโหมดการเล่นที่มีให้เลือก ยกตัวอย่างโหมด PvP ที่เคยมีในภาคสอง ภาคสามกลับตัดทิ้งหายไปแบบไร้ร่องรอย แน่นอนว่าคอนเทนต์เหล่านี้มันสามารถอัพเดทเพิ่มเติมเข้ามาภายหลังได้ แต่ดูจากสถานการณ์ที่ตัวเกมกำลังเผชิญอยู่ ณ ตอนนี้ เราเองก็ไม่กล้ารับปากฟันธงว่ามันจะช่วยดันตัวเกมให้ฟื้นจากหลุมที่ตนขุดขึ้นมาได้"
เกมเพลย์ | 6 |
กราฟิก | 7 |
เสียง | 7 |
ปริมาณเนื้อหา | 7 |
ความคิดสร้างสรรค์ | 6 |
ภาพรวม | 6.6 |
สนับสนุนบทความรีวิวโดยบริษัท Tripwire Interactive
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*