แนวเกม ผจญภัยสืบสวนไซไฟ
แพลตฟอร์ม PS5, Xbox Series, PC
เรตเกม PEGI: 18 เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
เลือกจิ้มตรวจสอบสิ่งของและใช้สมองไขคดีไปกับนักสืบหนุ่ม ผู้ต้องตามล่าควานหาตัวฆาตกรในสังคมที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากมีชีวิตนิรันดร์
สำหรับ Nobody Wants to Die นั้นเรียกว่าเป็นเกมเปิดตัวของทีมพัฒนาหน้าใหม่อย่าง Critical Hit Games โดยเนื้อหาบอกเล่ากล่าวถึงมหานครนิวยอร์กในอีก 300 ปีข้างหน้าที่มีการค้นคว้าวิจัยเทคโนโลยีในการถ่ายโอนจิตสามัญสำนึกของมนุษย์ไปเก็บรักษาไว้ในธนาคารความทรงจำหรือเคลื่อนย้ายถ่ายมันไปสู่ร่างกายของมนุษย์อีกคนได้สำเร็จ แต่ทว่าด้วยอัตราค่าบริการที่ค่อนข้างแพงลิ่วเกินเอื้อมสำหรับประชาชนคนทั่วไป เทคโนโลยีชีวีอมตะดังกล่าวจึงถูกจำกัดใช้งานแค่ในวงแคบเฉพาะกลุ่มสังคมคนชั้นสูงผู้มีฐานะร่ำรวยเท่านั้น และนั่นจึงก่อให้เกิดปัญหาใหญ่หลวงตามมาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
ตัวละครหลักของผู้เล่นมีชื่อว่า "เจมส์ คาร์ร่า" (James Karra) นักสืบหนุ่มผู้เคยผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาแล้วในอดีตและกำลังอยู่ในช่วงของการกินยาบำบัดจิต แต่เขาก็ยังได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้าให้มารับคดีฆาตกรรมในบ้านพักของมหาเศรษฐีรายหนึ่ง ซึ่งเมื่อเดินทางไปถึงที่เกิดเหตุเขาได้สังเกตเห็นถึงเงื่อนงำผิดปกติบางอย่างที่อาจนำพาเขาไปหาตัวฆาตกรต่อเนื่อง รวมถึงเฉลยความลับอันดำมืดโสมมที่ถูกหมกเม็ดเก็บงำไว้ใต้นครแสงสีนีออนแห่งนี้
ด้วยเทคโนโลยีที่รุดหน้าก้าวไปไกลมากกว่าปัจจุบัน ตัวของเจมส์นั้นจึงเต็มไปด้วยอุปกรณ์แกดเจ็ตสารพัดประโยชน์ที่คอยช่วยเหลือในการไขคดี อุปกรณ์ชิ้นแรกที่ถูกใช้บ่อยที่สุดก็คือ Reconstructor กำไลไฮเทคติดข้อมือ ที่สามารถจำลองสภาพแวดล้อมฉากเหตุการณ์ไล่ย้อนเวลาดูสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตได้ โดยผู้เล่นสามารถใช้ปุ่ม L2 และ R2 ในการเลื่อนดูเหตุการณ์เร่งช่วงเวลาไปข้างหน้าหรือย้อนถอยหลังได้อิสระเหมือนตอนกดกรอเทปวิดีโอ ต่างกันแค่ภาพที่เห็นมันจะเป็น 3D ที่ล่องลอยกลางอากาศอยู่ตรงหน้าและเราสามารถเดินเข้าไปตรวจสอบพยานวัตถุหลักฐานที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาราวกับเรากำลังอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ ซึ่งหากใครไม่แน่ใจว่าต้องเลื่อนย้อนดูช่วงเวลาไหน ตัวเกมยังมีการไฮไลท์แสงสีบอกใบ้ให้เสร็จสรรพ แถมยามใดที่สมองเริ่มตื้อคิดไม่ออกว่าต้องทำอะไรต่อ เรายังสามารถกดปุ่มสี่เหลี่ยมค้างเพื่อให้ตัวเกมช่วยระบุตำแหน่งเป้าหมายที่น่าสนใจภายในที่เกิดเหตุได้อีกด้วย
นอกเหนือจากกำไลข้อมือสำหรับควบคุมเวลาแล้ว หนุ่มเจมส์ผู้สูบบุหรี่จัดและติดเหล้าคนนี้ ในตัวเขายังพกพาอุปกรณ์พืันฐานที่เหล่ายอดนักสืบควรมี อาทิ กล้อง X-ray ที่สามารถสแกนทะลุเพื่อค้นหาบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในกำแพงหรือใต้ผิวหนังของมนุษย์ ช่วยให้เราสามารถเดินตามสายไฟใต้ดินจนไปเจอเข้ากับแผงวงจรหรือปุ่มสวิตช์เปิดประตูลับ ส่วนอุปกรณ์อีกชิ้นจะเป็น หลอดแสงไฟ UV ที่เอาไว้ส่องมองหาคราบเลือดตามจุดต่างๆในสถานที่เกิดเหตุเพื่อช่วยปะติดปะต่อเรื่องราวเรียงลำดับเหตุการณ์ได้ถูกต้อง ลองไปลองมาก็แอบชวนให้นึกถึงเกมแบทแมนอยู่เหมือนกัน
สิ่งหนึ่งที่ต้องขอชมเชยเลยคือเรื่องของอารมณ์มู้ดโทน ภาพบรรยากาศ และงานอาร์ตดีไซน์ภายในเกมที่พาลคิดว่าเรากำลังอยู่ในโลกอนาคตอันเสื่อมโทรมจริงๆ โดยคอนเซปต์ของมันจะผสมกันก้ำกึ่งครึ่งทางระหว่างความย้อนยุคกับความล้ำสมัย สังเกตเห็นได้จากเหล่ายวดยานพาหนะที่ผู้คนใช้สัญจรเดินทางที่เป็นรูปลักษณ์คลาสสิคโบราณแต่กลับถอดล้อติดเครื่องยนต์ไอพ่นเข้าไปแทนทำให้มันเหาะเหินบินไปมาได้ การขนส่งสินค้าตามบ้านเรือนอาคารที่รวดเร็วว่องไวไม่ง้อไปรษณีย์ที่ทำเป็นระบบท่อลมดูดแบบสมัยก่อน สไตล์ทรงผมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายตัวละครที่ดูย้อนยุคไปไกล หรือกระทั่งเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเองก็ยังดีไซน์ออกแบบเป็นรูปแป้นพิมพ์ดีด เรียกว่าทุกสิ่งอย่างภายในเกมนั้นมันขัดแย้งสวนทางกับภาพจินตนาการโลกอนาคตในฝันอันสวยหรูของใครหลายๆคน และแน่นอนว่าความสวยงามทั้งหมดที่เราเห็นล้วนมาจากขุมพลัง Unreal Engine 5 นั่นเอง
ด้วยความที่มันเป็นเกมแนวสืบสวนมีแค่เดินสำรวจเลือกจิ้มหยิบจับวัตถุสิ่งของ เกมเพลย์ของมันจึงอาจดูจืดชืดไปสักหน่อยค่อนข้างจำกัดกลุ่มผู้เล่นอยู่พอสมควร ไม่มีระบบแอ็คชั่นต่อสู้ ไม่มีฉากวิ่งไล่ล่าคนร้ายให้ลุ้นระทึกชวนหวือหวาใดๆ กว่าตัวละครจะรุดไปถึงจุดเกิดเหตุคนร้ายก็มักจะหลบหนีหายหน้าไปเสียก่อน ฉะนั้นใครชื่นชอบแนวสืบสวนจ๋าๆคงถูกใจ แต่สำหรับเกมเมอร์ทั่วไปอาจมีรู้สึกน่าเบื่อบ้าง ซึ่งการตัดสินใจตัดเกมเพลย์แอ็คชั่นทิ้งไปมันอาจเป็นเรื่องดีก็ได้สำหรับทีมนักพัฒนาหน้าใหม่อย่าง Critical Hit Games ที่ยังขาดฝีมือและประสบการณ์ หากพยายามฝืนยัดใส่ฉากบู๊แบบเก้ๆกังๆเข้ามามันอาจทำลายตัวเกมจนเสียหายป่นปี้ไปเลยก็ได้ เพราะขนาดแค่ลูกเล่นย้อนเวลาจำลองเหตุการณ์ธรรมดาๆมันยังประสบปัญหาในเรื่องของมุมกล้องยามที่วัตถุสิ่งของหรือศพคนตายลอยมาชนตัวเราอยู่เลย ถ้าหากต้องปะทะตบตีกับศัตรูอีกไม่อยากคิดเลยว่ามันจะออกมาเละเทะวายป่วงสักเพียงใด
ทุกครั้งที่พ่อหนุ่มเจมส์ของเราตรวจสอบหลักฐานไขคดีในที่เกิดเหตุเสร็จเรียบร้อย เขามักจะกลับมายังอพาร์ทเมนท์เพื่ออาบน้ำพักผ่อนหรือนั่งนอนริมระเบียงดูด-ดื่มเพื่อคลายเครียด เมื่อจิตใจปลอดโปร่งโล่งสบายก็ถึงเวลาทำรายงานส่งด้วยการสรุปสำนวนคดีจากหลักฐานต่างๆที่เก็บรวบรวมมาได้ โดยตรงจุดนี้จะถูกนำเสนอออกมาเป็นมินิเกมจับคู่เล็กๆที่มีวิธีการเล่นไม่ยาก เพียงแค่หยิบเอาชิ้นหลักฐานที่ตรงกับโจทย์มาใส่ลงไปในช่องคำถามสีเหลือง หากเลือกจับคู่ได้ถูกก็จะกลายเป็นสีเขียวไปต่อได้ แต่ถ้าขึ้นสีแดงแสดงว่าเราใส่คำตอบผิดถึงทางตันต้องทำลายสมมติฐานนั้นทิ้งไป เราก็แค่เปลี่ยนหาหลักฐานชิ้นอื่นมาลองใส่ใหม่ไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะขึ้นสีเขียวทั้งกระดาน ง่ายๆเหมือนกับการเปลี่ยนลูกกุญแจไขกลอนประตูไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะเปิดออกนั่นเอง ต่อให้คุณไม่เข้าใจในรูปคดีหรืออ่านภาษาอังกฤษไม่ออกก็ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด ทว่าอย่างไรก็ตามจากการที่ทางทีมผู้สร้างดันลืมใส่ Tutorial สอนวิธีเล่นมินิเกมดังกล่าว จึงทำให้หลายคนรวมถึงตัวผู้เขียนต้องงมเข็มหาวิธีผ่านติดอยู่ตรงนี้นานนับชั่วโมง (บ้าบอคอหอยพอกจริงเชียว!)
จากที่เล่นมาผู้เขียนใช้เวลาประมาณ 5 - 6 ชั่วโมงในการเคลียร์เนื้อหาเรื่องราวทั้งหมดของเกม เทียบกับราคาขายของเกมที่แตะไม่ถึงหลักพันบนเพลย์สเตชันสโตร์และไม่กี่ร้อยบาทบนสตีมแล้ว ก็ถือว่าพอคุ้มค่าเงินในระดับหนึ่ง ซึ่งตลอดทั้งเกมตัวละครของเราจะถูกยิงคำถามสำคัญ รวมถึงเผชิญหน้ากับสถานการณ์ตึงเครียดคับขันที่ต้องตัดสินใจเลือกอยู่บ่อยครั้ง ทุกช้อยส์ทุกการกระทำที่เราเลือกจะส่งผลกระทบโดยตรงกับเรื่องราวและฉากจบบทสรุปของเกม ดังนั้นถ้าคุณต้องการอยากเห็นฉากจบครบถ้วนทุกรูปแบบ มันก็อาจจะต้องใช้เวลาเล่นเยอะเพิ่มขึ้นจากปกติโดยเฉพาะการหวนกลับไปแก้ไขฉากไคลแมกซ์ในช่วงท้ายที่สามารถนำพาไปสู่ฉากจบทั้งดีและร้ายหลากหลายถึง 4 แบบด้วยกัน
"ในฐานะผลงานเกมตัวแรกของพวกเขา Nobody Wants to Die นับว่าประสบความสำเร็จทำออกมาได้ดีเกินความคาดหมายของเรา โดยเฉพาะด้านบรรยากาศและการผูกโยงเรื่องราวที่เหมือนกำลังรับชมภาพยนตร์แนวสืบสวนดีๆเรื่องหนึ่ง ซึ่งเราเฝ้าหวังว่าเกมต่อๆไปของพวกเขามันจะมีพัฒนาการสามารถหาจุดสมดุลบาลานซ์ที่ลงตัวระหว่างฉากไขปริศนากับความระทึกชวนตื่นเต้น เพราะตอนที่นั่งเล่นเกมนี้มันมีอยู่หลายครั้งหลายคราด้วยกันที่ทำเราเกือบหลับ แต่สุดท้ายก็สะดุ้งกลับมาได้"
เกมเพลย์ | 7 |
เนื้อเรื่อง | 9 |
กราฟิก | 8 |
เสียง | 8 |
ความคุ้มค่า | 7 |
ภาพรวม | 7.8 |
ข้อดี: โลกอนาคตดิสโทเปียที่ทุกคนสัมผัสเข้าถึงได้ไม่ไกลเกินฝัน, ลูกเล่นย้อนเวลาจำลองสถานการณ์สุดปราดเปรื่อง, เรื่องราวซับซ้อนซ่อนเงื่อนหักมุมหลายตลบ, มีตัวช่วยเหลือคอยนำทางใครไม่ถนัดแนวสืบสวนก็เล่นได้สบาย, บรรยากาศวิธีนำเสนอให้อารมณ์คล้ายรับชมภาพยนตร์ และราคาขายที่ไม่แพงสมเหตุสมผลกับเนื้อหา
ข้อเสีย: เกมเพลย์เน้นสืบสวนเป็นหลักถ้าเล่นตอนเพลียๆอาจมีหลับคาจอ, มินิเกมจับคู่สรุปสำนวนที่ควรสอนกลับไม่สอน, จะจบดีหรือจบร้ายวัดตัดสินแค่ช้อยส์ตัวเลือกในช่วงท้าย และทั้งหมดทั้งมวลนี้จะไร้ความหมายหากภาษาอังกฤษของคุณไม่แกร่งพอ
สนับสนุนบทความรีวิวโดยบริษัท PLAION
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*