กลายเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง เมื่อเกิดคดีอาชญากรรม และผู้ปกครองของผู้ต้องหาให้สัมภาษณ์ว่าลูกเป็นเด็กติดเกม อาจวางแผนจากวิดีโอเกม และสื่อหลายสำนักก็นำเสนอในทิศทางเดียวกัน แต่งานวิจัยของนักจิตวิทยาชาวอเมริกันกลับมีความเห็นที่ต่างออกไป
"สมาคมจิตวิทยาของสหรัฐอเมริกา" หรือ American Psychological Association (APA) ได้เผยแพร่งานวิจัยผ่านเว็บไซต์ www.apa.org เมื่อปี 2020 เกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างวิดีโอเกมกับพฤติกรรมก่อความรุนแรง โดยสรุปคือมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนข้อสันนิษฐานดังกล่าว
“ความรุนแรงเป็นปัญหาสังคมที่ซับซ้อน ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย นักวิจัย ผู้กำหนดนโยบาย และสาธารณชน ควรให้ความสำคัญกับปัจจัยเหล่านั้น” ดร.แซนดรา แอล. ชัลล์แมน ประธาน APA กล่าว “การระบุต้นตอของความรุนแรงว่ามาจากวิดีโอเกมนั้นไม่สมเหตุสมผลในทางวิทยาศาสตร์ และเป็นการตัดความเป็นไปได้ของปัจจัยอื่น ๆ เช่น พฤติกรรมการใช้ความรุนแรง ซึ่งเรารู้จากการวิจัยว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การก่อความรุนแรงในอนาคต”
ในรายงานยังระบุเพิ่มเติมว่ามีความเป็นไปได้เล็กน้อยที่การเล่นเกมที่มีความรุนแรงจะส่งผลต่อการแสดงออกที่ก้าวร้าว เช่น ตะโกนหรือด่าทอ แต่ถึงกระนั้นก็ยังเชื่อมโยงได้ยากว่าการแสดงออกรูปแบบนี้จะสามารถขยายตัวไปสู่การก่อความรุนแรงที่มากขึ้นในอนาคต
APA ทำงานมาหลายปีเพื่อศึกษาผลกระทบของวิดีโอเกมและสื่ออื่น ๆ ที่มีต่อเด็ก พร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมเกมให้ออกแบบวิดีโอเกมที่ผู้ปกครองสามารถควบคุมดูแลได้ นอกจากนี้ยังได้ผลักดันให้ปรับปรุงระบบการจัดเรตของวิดีโอเกม ให้สะท้อนถึงระดับและลักษณะของความรุนแรงในเกมเหล่านั้น เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถเลือกซื้อวิดีโอเกมที่เหมาะสมกับลูก ๆ ของพวกเขา
จากรายงานของ APA การกล่าวว่าวิดีโอเกมเป็นต้นเหตุของความรุนแรงนั้น เป็นคำพูดที่เหมารวมเกินไป เพราะยังมีปัจจัยอีกมากมายที่สามารถส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงดูของผู้ปกครอง สภาพแวดล้อมที่อยู่ การปฎิสัมพันธ์กับผู้คน ฯลฯ ถ้าอยากรู้ที่มาของพฤติกรรมความรุนแรงจริง ๆ ก็ควรตรวจสอบให้ครบทุกมิติ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน ดีกว่ามาโทษวิดีโอเกมเพียงอย่างเดียว
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับข่าวสารวงการเกมครับ*