Ninja Theory เผยเบื้องหลังการสร้างของ "Senua’s Saga: Hellblade II" ภาคต่ออย่างเป็นทางการที่กลับมาพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำ สร้างประสบการณ์เล่นเกมเสมือนอยู่ในโรงภาพยนตร์ พร้อมเปิดให้เล่นแล้ววันนี้บน Xbox Series X|S, Windows PC, Steam และ Xbox Game Pass
"Senua's Saga: Hellblade II" เป็นเกมที่สตูดิโอ Ninja Theory ทุ่มสร้างและพัฒนาด้วยความตั้งใจอย่างแท้จริงกับทีมนักพัฒนาประมาณ 80 คน ซึ่งมุ่งมั่นสร้างประสบการณ์ที่จะพาเกมเมอร์ทุกคนดำดิ่งสู่โลกและเรื่องราวของ Senua ภายใต้ฉากและสภาพแวดล้อมที่สร้างขึ้นจากสถานที่จริงในประเทศไอซ์แลนด์ ด้วยข้อมูลจากดาวเทียมและการทำแผนที่ภาพถ่าย หรือที่เรียกว่าเทคนิค Photogrammetry ประกอบกับการใช้ตัวละครแสดงฉากแอ็กชันจากนักแสดงจริง พร้อมกับเครื่องแต่งกายที่สร้างขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะสำหรับใช้ในการพัฒนาเกม ด้วยวัสดุสมจริงตามเนื้องเรื่องทางประวัติศาสตร์
เพื่อร่วมฉลองการเปิดตัวเกมที่น่าตื่นเต้นครั้งนี้ ทาง Ninja Theory ได้รวมองค์นำเบื้องหลังการพัฒนาเกมกับ องค์ประกอบหลักสุดพิเศษ 4 ด้าน ที่ทางสตูดิโอได้พัฒนาขึ้นใหม่มาเปิดให้แฟน ๆ ได้ดูกันแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ได้แก่ 1) การเล่าเรื่องที่ลึกล้ำ 2) การต่อสู้สมจริง 3) เสียงแบบ 3D และ 4) ฉากสุดอลังการ ของเกม Senua's Saga: Hellblade II ที่นักพัฒนาทุกคนทุ่มพัฒนาเพื่อให้เกมเมอร์ทุกคนได้ดำดิ่งกับประสบการณ์ในโลกของเกม
การเล่าเรื่องสุดลึกล้ำ: Senua ได้รับการพัฒนาให้เป็นตัวละครที่มีความเป็นมนุษย์มากที่สุดในวงการเกม
ในบทสรุปจากภาคแรกของ Hellblade: Senua’s Sacrifice ตัวเอก Senua ได้ทำใจยอมรับการสูญเสีย Dillion ผู้เป็นคนรักของเธอ และสัมผัสกับความโศกเศร้าที่ส่งผลกระทบกับกายและจิตใจอย่างมาก ใน Hellblade II ภาคต่อนี้ได้แสดงให้เห็นว่า Senua มีการพัฒนาเติบโตจากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์เหล่านั้นอย่างกล้าหาญ และเติบโตแข็งแกร่งมากขึ้น อีกทั้งเธอยังทำใจยอมรับกับสภาพที่เธอต้องเผชิญได้แล้ว และตั้งเป้าหมายใหม่ที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นโดยได้ลบล้างและเน้นเรื่องร้าวความโศกเศร้าของตัวเองน้อยลงไป ทำให้ ตัวตน บุคลิก และรูปลักษณ์ภายนอกของเธอค่อย ๆ เปลี่ยนไปพร้อมกับการได้พบเจอเรื่องราวของผู้คนใหม่ ๆ ในเกมภาคนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทีมงานใส่ใจในรายละเอียดทั้งการแสดงออก สีหน้า ท่าทาง และเนื้อเรื่อง ที่ทำให้รู้สึกเหมือน Senua เป็นมนุษย์จริง ๆ ที่ได้รับการเยียวยาจิตใจและเติบโต
ศาสตราจารย์ พอล เฟลทเชอร์ (Paul Fletcher) ที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาในซีรีส์เกม Hellblade ได้ชี้ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในโทนเนื้องเรื่องที่แตกต่างระหว่างเกมสองภาคว่า “ความโดดเด่นของภาคแรก (Senua’s Sacrifice) คือความรู้สึกมืดมิดที่ปกคลุมทุกอย่าง ผมคิดว่าเธอได้หลุดออกมาจากจุดนั้นแล้วและพร้อมค้นหาความหมายของตัวเองที่แตกต่างไปจากเดิม”
ในภาคนี้ Senua จะยังคงได้ยิน “เสียงในหัว” ของเธอเองที่วุ่นวายสับสน หรือที่เรารู้จักในชื่อว่า “Furies” แต่เธอจะสามารถควบคุมเสียงเหล่านั้นได้มากขึ้น คุณลารา เดอร์แฮม (Lara Derham) ผู้กำกับการแสดงของตัวละคร กล่าวว่า “ในภาคนี้ Senua สามารถเลือกได้ว่าจะตอบสนองต่อเสียงเหล่านั้นหรือไม่ เธอมีสิทธิ์ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในภาคแรก และวิวัฒนาการนี้คือจุดสำคัญอย่างแท้จริง”
การต่อสู้ที่สมจริง: เทคนิค Performance Capture กับการสร้างฉากต่อสู้สุดล้ำด้วยนักแสดงจริง
แม้ว่าการใช้เทคนิคสร้างภาพเคลื่อนไหวจากนักแสดงจริง (Motion capture หรือ Performance Capture) จะเป็นแนวทางที่โดดเด่นของสตูดิโอ Ninja Theory มาอย่างยาวนาน แต่ในภาคต่อของ Senua’s Saga: Hellblade II นี้ ตัวเทคนิคได้รับการพัฒนาไปอีกขั้นด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากขึ้นกับการถ่ายทำในสตูดิโอ Performance Capture ที่ Ninja Theory ทุ่มทุนสร้างขึ้นมาเป็นของตัวเองในสำนักงานใหญ่ที่เมืองเคมบริดจ์ ในภาคนี้ทีมนักพัฒนาจึงพร้อมที่จะทำลายทุกอุปสรรคในการสร้างตัวละครให้มีการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่สมจริงล้ำหน้าไปอีกขั้น
ขณะที่ Hellblade ภาคแรกได้ใช้ Performance Capture เฉพาะในฉากที่เล่าเรื่องแบบภาพยนตร์ ในภาคที่สองนี้ทางสตูดิโอได้ใช้ Performance Capture ในเกือบทุกการเคลื่อนไหว โดยสร้างขึ้นจากนักแสดงสตั๊นท์ที่ลงมือแสดงฉากต่อสู้ให้สตูดิโอสแกนเก็บรูปแบบการเคลื่อนไหว และสร้างเกมให้ใกล้เคียงกับมนุษย์และมีความสมจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ คุณดอม แมทธิวส์ (Dom Matthews) หัวหน้าสตูดิโอ Ninja Theory ได้เล่าถึงกระบวนการทำงานในส่วนนี้ว่าเฉพาะการเก็บภาพการต่อสู้ด้วย Performance Capture เพียงอย่างเดียวทางสตูดิโอได้ใช้เวลาเกือบ 70 วันเต็ม กว่าจะเสร็จสมบูรณ์
ฉากการต่อสู้ใน Hellblade II จึงสะท้อนถึงการต่อสู้ดิ้นรนของ Senua อย่างถึงแก่น เนื่องจากนักแสดงสตั๊นท์ได้เพิ่มความรู้สึกสมจริงที่ยากจะพบได้จากกระบวนการสร้างตัวละครที่ใช้เพียงเทคโนโลยีดิจิทัลสร้างขึ้นมาทั้งหมด คุณเบอนัวต์ มาคอน (Benoit Macon) ผู้กำกับด้านการต่อสู้ของ Hellblade II กล่าวว่า “เราต้องการนำความรู้สึกของความโหดร้ายรุนแรงและการดิ้นรนเข้ามาในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวของเกมนี้ คุณจะรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างฉากการต่อสู้และการดำเนินของเนื้อเรื่อง”
เสียงแบบ 3D: ต้องใช้หูฟังถึงจะเต็มอรรถรส! - ระบบเสียงแบบ Binaural ที่แตกต่างจากทุกสิ่งที่คุณเคยได้ยินมา
หากเกมเมอร์คนไหนเคยเล่นเกม Hellblade: Senua’s Sacrifice ภาคแรกมาแล้วคงจะคุ้นเคยกับระบบการออกแบบเสียงที่น่าทึ่งของเกมซึ่งมีจุดเด่นตรง “เสียงในหัว” หรือ Furies บทสนทนาที่ต่อเนื่องในใจของ Senua ที่มีตลอดทั้งเกม ในภาคแรกสตูดิโอใช้เทคนิคพิเศษด้านเสียงเฉพาะช่วงบทสนทนาภายในหัวของ Senua แต่ในภาคต่อมานี้ทางสตูดิโอได้เพิ่มการใช้เทคนิคพิเศษด้านเสียงต่าง ๆ ให้ขึ้นมาเป็นจุดสำคัญหลักในตลอดทั้งเกม
Hellblade II ได้ใช้เทคนิค Binaural ซึ่งเป็นวิธีการบันทึกเสียงโดยใช้ไมโครโฟนสองตัวเพื่อสร้างเสียงที่มีระยะสมจริงแบบ 3 มิติ เหมือนกับที่ได้ยินจากหูสองข้างของตัวเอง ขณะที่ Senua เดินทางผ่านหมู่บ้านร้าง ผู้เล่นจะได้ยินเสียงหลอนจากชะตากรรมคนในหมูบ้านดังก้องมาจากอดีต หรือขณะที่อยู่บนชายฝั่งทะเลอันโล่งกว้างและเงียบสงบ ก็จะได้ยินเสียงคลื่นค่อย ๆ กระทบฝั่งและลมที่พัดโชยมาจากระยะไกลออกไป
เสียง Furies ที่ Senua ได้ยินตลอดทั้งเกมนั้นก็ยังคงหนักแน่น แต่ในภาคนี้จะมีความลื่นไหลมากขึ้นจนเหมือนจะช่วยให้ผู้เล่นรู้สึกสบายขึ้นด้วยซ้ำระหว่างที่ร่วมติดตามการผจญภัยไปกับ Senua โดยคุณ เดวิด การ์เซีย ดิแอซ (David Garcia Diaz) ผู้กำกับด้านเสียงของ Hellblade ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาว่า “Senua สามารถสัมผัสถึง Furies ในรูปแบบที่ต่างไปจากเดิม พวกเขามีบทสนทนาที่ลึกซึ้งและมีความหมายมากขึ้น ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นในเกมภาคแรก เราไม่เพียงแค่สร้างเสียงขึ้นมาใหม่ เรากำลังสร้างโลกแห่งความเป็นจริงให้กับตัวละคร และนี่คือวิธีการของเราในการตีความอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ในเกม”
ฉากสุดอลังการ: ทิวทัศน์อันน่าทึ่งของ Hellblade II
เมื่อพูดถึงสภาพแวดล้อมและฉากทิวทัศน์ต่าง ๆ ใน Senua's Saga: Hellblade II แล้ว เพียงแค่คำว่า ‘น่าทึ่ง’ อาจจะบรรยายความรู้สึกได้ไม่ดีพอด้วยซ้ำ ฉากต่าง ๆ ได้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่กว้างใหญ่ไพศาลซึ่งเกมผจญภัยในลักษณะนี้ไม่ค่อยได้นำเสนอบ่อยนัก ภาพทิวทัศน์ของ Hellblade II มักจะทอดยาวกว้างไปจนสุดขอบฟ้า ทำให้ผู้เล่นสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของการผจญภัยที่รออยู่ข้างหน้า ทุกสิ่งที่ได้เห็นในเกมนั้นมียังความสมจริงและให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก สตูดิโอ Ninja Theory สามารถนำความรู้สึกเหล่านี้มาให้ผู้เล่นสัมผัสจากการสำรวจและศึกษาข้อมูลจากสถานที่จริง เพื่อนำภาพจำลองของประเทศไอซ์แลนด์ในยุคกลาง ที่มีลักษณะของความเป็นโลกเหนือจริงแต่ก็ยังคงจับต้องได้มาไว้ในเกม Hellblade II
ในขณะที่เนื้อเรื่องของภาคแรกจบลงที่ดินแดน Helheim ภาคต่อมานั้นได้นำผู้เล่นมาสู่ดินแดน Midgard ซึ่งเป็นที่รู้จักในตำนานของชาวนอร์เวย์ว่าคืออาณาจักรแห่งโลกมนุษย์ ทีมงาน Ninja Theory ได้คัดเลือกสถานที่ต่าง ๆ จำนวนมาก ก่อนที่จะสรุปเลือกประเทศไอซ์แลนด์ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ มอบทั้งความรู้สึกของสถานที่จากโลกแห่งความเป็นจริง แต่ก็สวยงามเสมือนอยู่ในโลกที่เหนือจริงไปพร้อม ๆ กัน
คุณแดน แอตต์เวลล์ (Dan Attwell) ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ด้านสภาพแวดล้อมของเกม Hellblade II กล่าวว่า จากที่สตูดิโอได้ใช้เทคนิคการทำแผนที่จากภาพถ่าย (Photogrammetry) ในเกมภาคแรกเพียงชิ้นเดียว ในภาคที่สองนี้ได้เพิ่มจำนวนขึ้นมากกว่า 370 ชิ้น นอกจากนี้แล้วทีมงานยังได้สร้างสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ของเกม Hellblade II ให้มีความสมจริงจากพื้นฐานองค์ประกอบของความเป็นธรรมชาติ ด้วยการสแกนวัตถุเข้าไปในเกม
"Senua’s Saga: Hellblade II" เปิดให้เล่นแล้ววันนี้บน Xbox Series X|S, Windows PC, Steam และ Xbox Game Pass สำหรับข้อมูลและเนื้อหาเบื้องหลังเพิ่มเติมของเกม สามารถติดตามได้จากบล็อกของ Xbox และติดตามข้อมูลล่าสุดจากสตูดิโอ Ninja Theory ได้ทาง Twitter (X): @NinjaTheory
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับข่าวสารวงการเกมครับ*