แนวเกม แอ็คชั่นอาร์พีจี
แพลตฟอร์ม PS5, Xbox Series, PC
เรตเกม ESRB: M เหมาะสำหรับผู้เล่นที่มีอายุ 17 ปีขึ้นไป
ผลงานโซลไลค์กระแสตอบรับดีที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน "อยากมี อยากเป็น" หยิบหลากวัตถุดิบชั้นยอดมาตำผสมรวมกัน แม้รสชาติอาจยังไม่กลมกล่อมสักเท่าไหร่
สำหรับตัวเกม Lord of The Fallen เวอร์ชันปี 2023 ที่เรานำมารีวิวนี้ มันไม่ใช่เชิงภาคต่อของเกมชื่อคล้ายกันที่เคยออกมาในปี 2014 เสียทีเดียว เพราะเหตุการณ์ทิ้งช่วงเวลาห่างกันนานนับพันปีจนตัวละครหลักล้มหายตายจากไปหมดแล้ว รวมถึงโลกสภาพแวดล้อมบ้านเมืองผู้คนก็มีการเปลี่ยนแปลงมากไปจากของเดิมที่พวกเราเคยรู้จัก หรืออาจพูดได้ว่ามันเป็นผลงานเกมเวอร์ชันรีบูทเริ่มต้นสตาร์ทนับหนึ่งแฟรนไชส์ขึ้นมาใหม่จากศูนย์ก็คงได้ เพราะทางทีมผู้พัฒนาเองก็ปรารถนาอยากให้เกมเมอร์ทุกคนคิดแบบนั้นเช่นกัน
พล็อตเนื้อหายังคงกล่าวถึงดินแดน Axiom โลกที่มนุษย์สามารถปลดแอกตนเองจากการถูกกดขี่ของเทพมาร Adyr ได้สำเร็จ แต่ทว่ามันเป็นเพียงแค่การขับไล่จอมมารไปยังโลกวิญญาณ Umbral เท่านั้น จึงเป็นเหตุให้เหล่าสาวกด้านมืดผู้รับใช้คิดวางแผนที่จะฟื้นชีพมันให้กลับขึ้นมาปกครองโลกอีกครั้ง และมีเพียงนักรบอมตะ Dark Crusader ผู้ถือครองตะเกียงวิเศษตายแล้วฟื้นเท่านั้นที่เป็นความหวังเดียวของมวลมนุษยชาติ อย่างไรก็ตามในการต่อสู้ครั้งล่าสุดฮีโร่หนุ่มดันเกิดพลั้งพลาดเสียท่าทั้งในโลกจริงและโลกวิญญาณ ตะเกียงสีฟ้าดังกล่าวจึงตกมาอยู่ในมือนักรบหน้าใหม่อย่างเรา ผู้ต้องสานต่อภารกิจกลายเป็นแสงสว่างให้มนุษย์สืบต่อไป
ใครที่เคยสัมผัสเกมของค่าย FromSoftware มาก่อนหน้า คงไม่ต้องเรียนรู้ศึกษาอะไรเพิ่มเติมมากนักแค่จับครั้งแรกก็น่าจะเล่นเป็นกันแล้วเนื่องจากระบบเกมเพลย์แทบจะลอกแบบมาจากเกมโซลซีรีส์ทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างตัวละครอวตาร์ที่มีคลาสเริ่มต้นให้เลือกหลากหลาย ระบบล็อคเป้าเปลี่ยนสลับเป้าหมายไปมา การฟันโจมตีและกลิ้งหลบหลีกที่ต้องใช้เกจพลังสตามินา ไปจนถึงอาวุธที่สามารถเลือกใส่ติดตั้งได้ทั้งแขนขวาและแขนซ้าย ทุกอย่างล้วนให้อารมณ์เหมือนตำนานเกมโซลต้นฉบับ ต่างกันเพียงแค่เกมนี้ปุ่มบังคับควบคุมอาจดูยุ่งเหยิงวุ่นวายสับสนไปสักหน่อย ไหนจะต้องยิงไกล ไหนจะต้องใช้ตะเกียง ไหนจะต้องมีปุ่มฟันหนักฟันเบา มีปุ่มสำหรับบล็อกตั้งการ์ด ปุ่มกดใช้ไอเทม ไหนจะปุ่มเปลี่ยนลักษณะท่า Stance ในการถือจับอาวุธอีก เรียกว่าหยิบเอาระบบเด่นๆจากเกมดังๆในท้องตลาดมาจับยัดใส่ลงไปในเกมเยอะมาก เยอะถึงขนาดไม่มีปุ่มว่างสำหรับการยืนกระโดดต้องกดวิ่งเร็วก่อนแล้วตามด้วยปุ่ม X ถึงจะกระโดดได้ หรือแค่จะยกขาขึ้นมาถีบศัตรูก็ต้องกดปุ่ม L1 + R1 พร้อมกัน จนบางทีเราแอบรู้สึกรำคาญในความเยอะของมันอยู่เหมือนกัน
นอกเหนือจากการกดฟันโจมตีปกติแล้ว มันยังมีอีกหนึ่งวืธีในการกำจัดศัตรูนั่นคือการทำให้พวกมันเสียหลักแล้วใช้ท่าจิ้มแทงปลิดชีพทำแดมเมจอย่างรุนแรง โดยในเกมนี้ถ้าหากเรากดปุ่ม R2 ค้างโจมตีหนักใส่ศัตรูหรือกดปุ่ม L1 ปัดป้องในจังหวะเวลาที่เพอร์เฟกต์ติดต่อกันได้หลายครั้ง ศัตรูก็จะเกิดอาการโซเซเสียหลักร่วงลงไปกองกับพื้นเปิดช่องว่างให้เราใช้ท่าจับแทงกระซวกหรือตีฟรีๆไปได้หลายแผล ทว่าอย่างไรก็ดี การ Parry ในเกมนี้มันค่อนข้างมีข้อกำจัดอยู่นิดนึง เพราะถึงแม้จะปัดป้องได้สำเร็จแต่ตัวละครยังต้องรับแดมเมจเสียเลือดไปประมาณ 20% ซึ่งขีดเลือดสีเทาที่สูญเสียไปจากการแพรี่สามารถฟื้นเรียกคืนมันกลับมาได้หากเราโจมตีโดนศัตรูในภายหลัง มองดูผิวเผินมันก็เป็นระบบที่สมเหตุสมผลอยู่หรอกนะ แต่ในบางกรณียามที่เลือดตัวละครเหลือน้อยไม่เพียงพอให้แลก เราจะทำได้แค่กลิ้งหลบอย่างเดียวเพราะขืนปัดป้องไปก็เท่ากับตาย นั่นเอง
ตะเกียงส่องแสงสีฟ้าที่เหน็บอยู่ข้างเอวเรานั้น ถือเป็นไอเทมกุญแจสำคัญสารพัดประโยชน์ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย ทั้งใช้เป็นไฟฉายเอ็กซเรย์แอบส่องมองดูโลกอีกมิติเพื่อไขปริศนาเปิดเส้นทางไปต่อ, ใช้ส่องเผยตัวตนวิญญาณปรสิตที่คอยคุ้มครองศัตรูบางประเภท, ใช้เผยความลับเหตุการณ์ภาพความทรงจำในอดีตที่เคยเกิดขึ้น ณ ที่ตรงนั้น, ใช้หว่านเมล็ดปลูกต้นไม้วิเศษสร้างจุดเซฟเชคพอยท์ชั่วคราว, ใช้ดึงดวงวิญญาณศัตรูให้ออกจากร่างเพื่อลดเลือดมันเหลือครึ่งหนึ่ง หรือแม้กระทั่งเวลาที่ตัวละครเอกพลาดท่าสิ้นชีพลงในโลกแห่งคนเป็น เจ้าตะเกียงสีฟ้านี้ก็จะช่วยชุบชีวิตมอบโอกาสแก้มือหนที่สองให้กับเราเหมือนดั่งเกม Sekiro
วิธีการก้าวข้ามเข้าไปสู่โลกวิญญาณ Umbral นั้นมันไม่จำเป็นต้องรอให้ตัวละครของเราตายสถานเดียว เพราะผู้เล่นสามารถเดินทางเข้าๆออกๆไปมาหาสู่ระหว่างดินแดนคนเป็นและคนตายได้ตลอดเวลาในขณะที่ตนยังมีลมหายใจอยู่ผ่านการใช้พลังพิเศษของตะเกียง ซึ่งโลกแห่งคนตายจะมีสภาพแวดล้อมคล้ายคลึงกับโลกคนเป็นปกติแทบทุกอย่าง ต่างกันเพียงแค่มันจะไม่มีสิ่งมีชีวิตพืชพันธุ์ แสงตะวัน น้ำ ไฟ หรือสีสันอื่นใดนอกจากสีฟ้าอยู่ภายในนั้น ที่นั่นจะมีแต่ภูตผีปีศาจที่พร้อมเกิดใหม่ทยอยแห่กันมาต้อนรับให้เราเก็บเกี่ยวแต้มประสบการณ์อยู่เรื่อยๆแบบไม่มีที่สิ้นสุด อย่างไรก็ตามใช่ว่าตัวเกมจะปล่อยให้เราได้ฟาร์มกันแบบเพลินๆตลอด 24 ชั่วโมง เพราะยิ่งเราอยู่ในนั้นนานมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดึงดูดสายตายมทูตสีแดงสุดแกร่งให้ออกมาไล่ล่าเรามากขึ้นเท่านั้น
สภาพโลกภายในเกม Lord of The Fallen มันไม่ได้เป็นโอเพ่นเวิลด์เหมือนอย่างเกม Elden Ring แต่มีลักษณะเป็นโลกที่คล้ายเอาหลากหลายโซนพื้นที่มาเชื่อมต่อโยงถึงกันแบบเกม Demon's Souls ซะมากกว่า ซึ่งการตัดสินใจเลือกนำเสนอแบบนี้มันช่วยให้ทีมพัฒนาสามารถควบคุมคุณภาพการแสดงผลกราฟิกได้ง่ายและกำหนดโทนบรรยากาศให้แก่แต่ละโซนพื้นที่ได้อย่างอิสระ ส่งผลทำให้ทุกสถานที่ที่เราไปเยี่ยมเยือนมีความโดดเด่นลึกลับน่าค้นหา แถมยังดูสวยงามสมกับเป็นเกมที่ใช้ขุมพลัง Unreal Engine 5 อีกทั้งด้วยคอนเซปต์หลักของเกมที่เน้นถ่ายทอดดินแดนคนเป็นและคนตายซึ่งอยู่คู่ขนานทับซ้อนกัน หากพวกเขาเลือกประมวลผลโลกสองใบไปพร้อมๆกันในรูปแบบโอเพ่นเวิลด์ รับรองเฟรมเรตคงร่วงกระจายเล่นไม่ได้แน่ๆ
เรื่องระดับความยาก หากเทียบกับแฟรนไชส์อื่นๆอย่างดาร์คโซลส์, นิโอะ, เซคิโระ หรือแม้กระทั่งเอลเดนริงแล้ว เราว่าเกมนี้มันง่ายเล่นสบายกว่าเกมดังๆเหล่านั้นเยอะเลย เพราะในเกม Lord of The Fallen เราสามารถชิงโจมตีก่อนเพื่อขัดขวางแอนิเมชั่นทำลายจังหวะท่วงท่าของศัตรูหรือเหล่าบอสทำให้มันไม่สามารถโจมตีสวนกลับเราได้ เรียกว่าเปิดก่อนได้เปรียบไม่เหมือนในเกมของ FromSoftware ที่เราตีก่อนแท้ๆแต่ต้องแลกเลือดกับมัน ส่วนเรื่องการซัมมอน NPC มาช่วยเหลือในยามเปิดศึกกับบอส และการอัญเชิญเพื่อนมาร่วมเล่นด้วยกันแบบ Co-op เกมนี้ก็บรรจุมาให้เช่นเดียวกัน แถมฟีเจอร์ดังกล่าวยังถูกปลดล็อคให้ใช้ได้ตั้งแต่ฉากแรกเลยทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลาทำเควสต์ให้วุ่นวายหรือต้องทนเล่นเหงาๆไปครึ่งเกม นับว่าอำนวยความสะดวกใจกว้างกับผู้เล่นมากกว่าเกมซีรีส์สายโหดทั่วไปในท้องตลาด สิ่งเดียวที่ลำบากสำหรับเกมนี้คงเป็นการต่อสู้กับอารมณ์ความรู้สึกย้อนแย้งต่อต้านภายในจิตใจเราเองซะมากกว่า ว่าจะทนเล่นเกมโซลส์ฉบับก็อปปี้นี้ไปได้ไกลแค่ไหน? นั่นแหละคือความยากท้าทายที่แท้จริง
"ถึงแม้ทุนสร้างของมันจะใกล้เคียงเทียมทัดกับเกมฟอร์มยักษ์ระดับ AAA แต่หลายสิ่งหลายอย่างภายใน Lord of The Fallen กลับชวนให้เรานึกถึงเหมือนกำลังนั่งเล่นเกมเกรดบีอยู่ ทั้งปุ่มกดบังคับ แอนิเมชั่นการเคลื่อนไหว ไปจนถึงเรื่องดีไซน์ตัวละคร-เลเวลดันเจี้ยน ที่ดูยังไม่ขัดเกลาไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดมาแบบรอบคอบสักเท่าไหร่ ทุกองค์ประกอบล้วนเจตนาจ้องลอกเอาของเกมนั้นเกมนี้มาใส่ทำให้ดูเยอะดูล้นจนเกินงาม ความจริงเราว่าลูกเล่นท่องโลกสองใบมันเจ๋งดีสามารถไปต่อได้นะ แต่ควรลดทอนคำว่า 'แรงบันดาลใจ' จากเกมอื่นๆให้น้อยลงมาหน่อย เพื่อที่พวกเขาจะได้เอาเวลาไปโฟกัสทำในสิ่งที่ตนถนัดจริงๆ หากไม่รู้แค่ไหนถึงเรียกว่าพอดี เกม Lies of P น่าจะเป็นคำตอบที่ดีให้แก่พวกเขาได้"
เกมเพลย์ | 7 |
กราฟิก | 8 |
เสียง | 7 |
การเล่าเรื่อง | 7 |
ความคิดสร้างสรรค์ | 6 |
ภาพรวม | 7 |
ข้อดี: บอกเล่าเรื่องราวดั่งมหากาพย์ภาพยนตร์, บรรยากาศดาร์คแฟนตาซีชวนดำดิ่งน่าหลงใหล, ลูกเล่นตะเกียงกับโลกสองใบดูแปลกใหม่, เฟรมเรตลื่นไหลไม่มีสะดุด, เหล่าตัวละคร NPC ที่สามารถซัมมอนมาช่วยในการต่อสู้, ฟีเจอร์ Co-op กับเพื่อนถูกปลดล็อคมาให้ตั้งแต่เริ่ม และเหมาะใช้เล่นแก้ขัดระหว่างรอเนื้อหาเสริม Elden Ring
ข้อเสีย: การแม็พปุ่มบังคับบนคอนโซลค่อนข้างวุ่นวาย, แผนผังดีไซน์ดันเจี้ยนรู้สึกขัดตาขัดใจยังไม่เนียนต้องไปเรียนมาใหม่, แพทเทิร์นของศัตรูแต่ละตัวดูซ้ำซาก, ระบบ Parry สูบเลือดตัวละครมากเกินไปจนได้ไม่คุ้มเสีย, ระบบออนไลน์การเชื่อมต่อยังมีปัญหา และอะไรหลายสิ่งหลายอย่างที่แค่ลอกเขามาใช้แบบทื่อๆ
สนับสนุนบทความรีวิวโดยบริษัท Ripples Thailand
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*