หากจะพูดถึงซีรีส์ Diablo หลายคนอาจมีความคาดหวังต่างกัน ทั้งเรื่องราวดาร์คแฟนตาซี ระบบสร้างตัวละครสุดแกร่ง การล่าไอเทมที่ทำให้รู้สึกอยากเล่นต่อเรื่อยๆ ซึ่งการกลับมาของภาค 4 ครั้งนี้ก็ต้องดูกันว่าจะตอบโจทย์ได้มากน้อยเพียงใด
*เนื้อหาในบทความอิงจาก PC อาจต่างจากเกมจริงและยังไม่ครอบคลุมองค์ประกอบทั้งหมด เป็นเวอร์ชันที่อยู่ในวงจำกัดก่อนจำหน่าย*
เดิมที เกม Diablo IV ก็ประกาศเปิดตัวครั้งแรกตั้งแต่งาน BlizzCon 2019 ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์โควิดทำให้ทั้งวงการติดขัดล่าช้าไปหมด โดยแพลตฟอร์มที่วางจำหน่ายจะมีคอนโซล PS4, PS5, Xbox One, Xbox Series X|S และ PC ถือว่าครบทุกเครื่องที่เล่นไหว
ระหว่างการพัฒนา ทีมงานก็มีการสื่อสารกับแฟนๆ อัพเดตความคืบหน้าให้ทราบเป็นระยะ เผยบรรยากาศสถานที่ แนะนำคลาสอาชีพ ระบบการเล่น เนื้อหาระยะยาวหลังจบ จนเมื่อใกล้ออกก็แสดงความมั่นใจถึงกับเปิดให้ทดลองเล่นฟรีเลยทีเดียว
เมื่อเทียบกับภาค 3 ที่เป็นปัญหาในช่วงแรกและภาค Immortal ที่เจอข่าวไม่ดีอยู่ตลอด แนวทางของภาค 4 ก็ถือว่ามีความระมัดระวังและใส่ใจรับฟังฟีดแบกจากผู้เล่นมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับผู้เล่นหน้าใหม่ เกมนี้ก็เป็นแนวแอคชัน RPG มุมมองด้านบนให้ต่อสู้กับศัตรูด้วยอาวุธสกิลต่างๆ เน้นความสำคัญของการยืนตำแหน่ง เลือกเล็งเป้าหมาย จังหวะปล่อยท่าเป็นคอมโบก่อนหลัง และต้องดูการเคลื่อนไหวของฝ่ายศัตรู รู้จักหลบหลีกแก้ไขสถานการณ์เอาตัวรอดด้วย
อีกด้านหนึ่ง องค์ประกอบ RPG เก็บเลเวลเลือกฝึกสกิลก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยจะมี 5 คลาสอาชีพได้แก่ นักรบ Barbarian, จอมโจร Rogue, จอมคาถา Sorcerer, ผู้ใช้พลังธรรมชาติ Druid และผู้ใช้ความตาย Necromancer ซึ่งแต่ละคลาสจะแยกวิธีเล่นได้หลายสายอีก ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกคน
การใช้และปรับแต่งอาวุธชุดเกราะจะเป็นอีกสิ่งสำคัญต้องสอดคล้องกับคลาสที่สร้างไว้ นอกจากเพิ่มตัวเลขค่าพลังตรงๆ แล้วเอฟเฟกต์จากไอเทมจะช่วยเปลี่ยนแปลงรูปแบบประสิทธิภาพสกิล นำไปสู่การคิดวางแผนสร้างสไตล์วิธีเล่นที่ถูกใจเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของซีรีส์
ด้วยแนวเกมแบบนี้ที่มีมานาน ทางค่ายก็ออกแบบมาอย่างรู้ใจอำนวยความสะดวกผู้เล่น อย่างเช่นการยกเลิกแต้มสกิลเปลี่ยนไปลองสายอื่นได้โดยง่าย เควสต์ช่วยแนะนำระบบสำคัญต่างๆ เลือกเปลี่ยนรูปลักษณ์อาวุธชุดเกราะตามที่ชอบ รวมถึงการบริหารจัดการไอเทมที่รวดเร็ว สามารถใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการต่อสู้แอคชันได้เลย
แผนที่ของเกมจะมีลักษณะเป็นโอเพนเวิลด์ที่ถูกซ่อนรายละเอียดไว้ตอนเริ่ม ต้องค่อยๆ สำรวจผจญภัยเปิดออกทีละดินแดน โดยจะมีเควสต์แคมเปญหลักเป็นตัวนำทางให้ไปพบผู้คนค้นหาของ แก้ไขปัญหา เข้าต่อสู้ลงดันเจียน บางช่วงจะแยกหลายเส้นทางเลือกลำดับก่อนหลังได้แล้วมาบรรจบกันในตอนท้าย
สำหรับเนื้อเรื่อง ทางเราก็จะไม่สปอยล์ให้ไปสัมผัสกันเอง พอบอกเล่าความประทับใจได้ว่าภาคนี้เล่นใหญ่เป็นศึกสะเทือนแดนศักดิ์สิทธิ์อีกครา ให้อารมณ์ไปทางสยองขวัญมืดมนตามที่ทีมสร้างเคยเกริ่นไว้ (แต่บางเหตุการณ์ก็รู้สึกฝืนพยายามดาร์คมากไปนิด)
นอกจากนี้ ตัวเกมยังเต็มไปด้วยเควสต์ย่อยจำนวนมากทั้งแบบกดรับเองและบังเอิญไปพบเจอตามทาง แม้รางวัลอาจไม่เยอะแต่ก็มีเรื่องราวช่วยเสริมสร้างบรรยากาศให้กับโลก โดยที่บางอันจะเป็นเควสต์ต่อเนื่องเหมือนมินิซีรีส์ให้ติดตามด้วย
ด้านการนำเสนอ กราฟิกก็นับว่าสวยงามเฟรมเรตไหลลื่นแม้สเปค PC ที่ใช้รีวิวค่อนข้างเก่า ไม่มีปัญหากับฉากที่ศัตรูและเอฟเฟกต์สกิลเต็มจอ ส่วนงานศิลป์ก็ออกแบบอาวุธชุดเกราะได้โดดเด่นเช่นเดียวกับสถานที่และหน้าตาศัตรู อาจมีช่วงที่ชวนแหวะบ้างสำหรับคนขวัญอ่อนหรือมีอาการกลัวอะไรเฉพาะอย่าง
สำหรับคนที่เคยเล่นรอบทดสอบมา เกมเต็มคราวนี้จะตั้งอัตราการดรอปไอเทมกลับสู่ "ระดับปกติ" ซึ่งความต่างที่เห็นชัดคืออาวุธชุดเกราะและทรัพยากรจะมีจำกัดในช่วงแรก อาจทำให้แผนการสร้างตัวละครล่าช้าและต้องใช้ของเท่าที่มีไปก่อน
ด้วยเหตุนี้ ตอนเริ่มเกมใหม่อาจรู้สึกว่าค่อนข้างยาก ยังมีแต้มสกิลจำกัด ต้องเรียนรู้ระบบไปทีละนิดและอัพเกรดของต่างๆ เมื่อจำเป็นไม่ประหยัดเกินควร หากรู้สึกว่าไม่ไหวก็สามารถเปลี่ยนระดับความยาก World Tier ได้ตลอดเวลา
เมื่อเล่นไปไกลระดับหนึ่ง ความเข้าใจต่อเอฟเฟกต์ของสวมใส่และวิธีอัพสกิลจะช่วยให้ตัวละครแข็งแกร่งขึ้นมาก รวมถึงอัตราการดรอปไอเทมก็จะเริ่มสูงขึ้นตามจนรู้สึกง่ายไปเลย แล้วจะเจอกับความท้าทายจริงจังอีกทีก็ตอนหลังเล่นจบเนื้อเรื่องหลัก
นอกจากนี้ การสร้างตัวละครใหม่เพิ่มจะสามารถนำสิ่งที่ตัวแรกสะสมไว้มาใช้ต่อเนื่องช่วยเพิ่มความได้เปรียบหลายอย่าง ยิ่งถ้าเคยจบส่วนแคมเปญแล้วจะมีตัวเลือกข้ามเนื้อเรื่องได้หมด เข้าสู่การเก็บเลเวลเน้นๆ ไม่ต้องเดินทางซ้ำอีก
บนแผนที่ นอกจากการเดินทางไปตามเรื่องหลักแล้วก็จะมีอะไรอีกมากให้ค้นหา อย่างเช่นการตียึดป้อมปราการ เปิดแท่นบูชาที่ซ่อนอยู่ทั่วไป พบเจออีเวนท์สู้ตามเงื่อนไข รวมถึงดันเจียนย่อยหลายแห่ง เป็นการแวะเปลี่ยนบรรยากาศระหว่างทางหรือทยอยตามเก็บเมื่อมีเวลาว่าง
หลังเล่นส่วนแคมเปญจบ เนื้อหาที่รออยู่จะเป็นไปตามสูตรสำเร็จคือการทำให้ตัวละครแข็งแกร่งขึ้นและด่านยากเผชิญศัตรูที่โหดขึ้นตาม ซึ่งตัวเกมก็เน้นทั้งสองอย่าง มีเตรียมรอไว้ให้เล่นได้อีกไกล
ระบบพัฒนาตัวละครเมื่อเลเวลเกิน 50 จะเรียกว่า Paragon Board เป็นตารางช่องเพิ่มค่าพลังให้เดินโดยใช้แต้มจากการเก็บเลเวลปกติ สามารถวางแผนเน้นไปทางดาเมจหรือป้องกัน พร้อมองค์ประกอบปรับแต่งเองอย่างเช่นช่องวางหิน Glyph เป็นโบนัสที่อัพเกรดได้และการติดตั้งกระดานใหม่ทั้งแผ่นขยายเส้นทาง
ในฝั่งศัตรู เกมจะมีระดับความยาก World Tier ที่สูงขึ้นต้องผ่านดันเจียน Capstone ทดสอบฝีมือเพื่อปลดล็อกก่อน โดยเหล่าปีศาจจะเพิ่มทั้งเลเวล ลูกเล่นการโจมตีและกลไกใหม่ทำให้การต่อสู้ไม่เหมือนเดิมทั้งหมด ส่วนผู้เล่นเองก็มีโอกาสเจออาวุธชุดเกราะพลังสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
วิธีการฟาร์มไอเทมก็จะมีทั้งอีเวนท์ Helltide เปลี่ยนพื้นที่เป็นโซนอันตรายในเวลาจำกัดให้เข้าไปสู้ศัตรูเก็บแต้มเปิดหีบสมบัติ และ Whispers of the Dead คล้ายกับภารกิจล่าค่าหัวเกิดขึ้นแบบสุ่มทั่วแผนที่ให้ไปกำจัดเป้าหมายแลกรางวัล รวมถึงการรวมกลุ่มล่าบอสโลกขนาดยักษ์ที่คนเล่นรอบเบต้าเคยสัมผัสมาแล้ว
อีกสิ่งที่จะทดสอบฝีมือจริงจังคือดันเจียนแบบ Nightmare เป็นการเปลี่ยนดันเจียนทั่วไปให้ยากขึ้นด้วยไอเทม Sigil เพิ่มทั้งลูกเล่นกับดักอุปสรรคและเลเวลศัตรู มีหลายระดับตั้งแต่พอน่วมไปจนถึงขั้นจัดเต็มโดนสะกิดทีเดียวร่วง ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกใช้ Sigil ระดับใด
เมื่อมองดูเนื้อหาหลังจบโดยรวม ตัวเกมก็ถือว่ามีความดึงดูดให้เล่นต่อเนื่อง แต่ละกิจกรรมกินเวลาแค่พอดีไม่ยืดเยื้อ สามารถปรับความยากได้ตามที่สู้ไหวและรางวัลเป้าหมายก็ดีพอใช้ มิใช่แค่หวังดวงรอดรอปไอเทมหายากอย่างเดียว
จากข้อมูลข่าวสารก่อนจำหน่าย หลายคนอาจได้ยินศัพท์ชวนแสลงอย่างแบทเทิลพาสหรือการอัพเดตแบบซีซัน จนเหมือนแนวไลฟ์เซอร์วิสภาระชีวิต แต่ความจริงแล้วเกมก็ยังเป็น RPG ที่สามารถก้มหน้าเล่นคนเดียวไปตามจังหวะของตนเองได้ ไม่ต้องแข่งขันไล่ตามกระแสเมตากับใคร
นอกจากนี้ ทางค่ายบลิซซาร์ดก็ชี้แจงว่าร้านขายไอเทมและรางวัลตามซีซันจะมีเฉพาะแนวสวยงามแต่งตัวละครเท่านั้นไม่ใช่ค่าพลังหรือสกิลโกง เป็นเหมือนโบนัสเพิ่มเติมเล็กน้อยให้กับคนที่ตั้งใจจะเล่นระยะยาวอยู่แล้ว
โดยภาพรวม เกม Diablo IV ก็ถือเป็นภาคต่อแบบตรงปกตามที่แฟนซีรีส์ต้องการ แม้จะไม่ได้ฉีกแนวไปทำอะไรท่ายากพิสดารมาก แต่ก็มาพร้อมเนื้อหาเต็มอิ่มสนองทั้งคนประเภทเล่นแค่จบพอดีและชอบบุฟเฟต์อยากตักเพิ่มเรื่อยๆ
*ตัวเกมมีกำหนดออกวันที่ 6 มิถุนายน หากซื้อเวอร์ชัน Digital Deluxe หรือ Ultimate จะได้เล่นก่อนตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน*
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*