ใกล้จะได้เล่นกันแล้วสำหรับ "Overwatch 2" เกม FPS จากพ่อมดน้ำแข็ง Blizzard Entertainment ที่กำลังจะเปิดให้เล่นในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงมากมายในโหมด Competitive play ที่ผู้เล่นควรรู้ ดังนี้
ใน Overwatch 2 ทีมพัฒนามีเป้าหมายที่จะอัปเดตเนื้อหาใหม่ในทุกซีซัน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องเฉพาะของแต่ละซีซัน แผนที่ใหม่ โหมดเกมใหม่ การปรับสมดุล ฯลฯ ผู้เล่นใหม่จะสามารถสนุกกับโหมด Competitive ได้มากขึ้น แม้จะไม่ชนะ แต่ก็สามารถไต่แรงค์ได้ด้วยเงื่อนไขอื่น ๆ ขณะที่ผู้เล่นมากประสบการณ์จะได้เจอกับแมตช์ที่เหมาะสมกับทักษะของตัวเอง พร้อมกับสิทธิประโยชน์มากมายทั้งกับผู้เล่นเองและเพื่อนร่วมทีม
ปลดล็อกระบบแข่งขัน Competitive play
สำหรับผู้เล่นใหม่ที่สร้างบัญชีใน Overwatch 2 จะต้องผ่านโหมดต้อนรับผู้เล่นหน้าใหม่ First-Time User Experience (FTUE) และต้องเอาชนะให้ได้ 50 เกมก่อนจะปลดล็อกโหมด Competitive ซึ่งจะช่วยให้ผู้เล่นใหม่ได้ทำความรู้จักระบบและฝึกเล่นเกมจนคล่องก่อนเข้าสู่โหมดแข่งขันแบบจริงจัง ส่วนผู้เล่นเดิมจะสามารถปลดล็อกโหมด Competitive ได้ทันทีที่เกมเปิดให้บริการ
ระบบแรงค์แบบใหม่ Skill Tier
ทีมพัฒนาอยากให้ผู้เล่นทุกคนรู้สึกว่าได้รับความคืบหน้าในทุกเกมที่เล่นตั้งแต่วันแรกใน Overwatch 2 แต่เดิมการจัดระดับจะใช้ระบบ SR (Skill Rating) โดยเป็นการขยับขึ้นลงในแรงค์ตามรอบแพ้ชนะของแต่ละเกม ซึ่งระบบดังกล่าวสร้างปัญหาให้กับผู้เล่นหลายคน เนื่องจากรู้สึกว่าแรงค์ของตนเองไม่คืบหน้าแม้จะเล่นไปหลายเกม
ใน Overwatch 2 ได้ปรับมาใช้ระบบ Skill Tier Division โดยแบ่งจากระดับ Bronze ไปถึงระดับ Grand Master แต่ละระดับแบ่งออกเป็น 5 ระดับย่อย ทุกเกมจะได้คะแนนสะสมเพื่อไต่ระดับ ผู้เล่นจะได้เลื่อนแน่นอนระดับหากชนะติดต่อกัน 7 รอบ หรือแพ้ติดต่อกัน 20 รอบ ไม่ได้เป็นการเลื่อนระดับขึ้นหรือลงในทุกรอบที่เล่นแบบเดิม
นอกจากนี้ ตัวเกมมีฟีเจอร์ที่จะบันทึกทุกแมทช์ที่เล่นในแต่ระดับย่อย เพื่อให้ผู้เล่นได้ศึกษาและวางแนวทางการเล่นที่เหมาะกับตัวเองและเพื่อนร่วมทีม
UI สำหรับ Match-focused
ใน Overwatch 2 ได้มีการปรับหน้าตา UI บนหน้าจับคู่ในโหมด Competitive ตามคำเรียกร้องจากผู้เล่น โดยตัดกรอบสัญลักษณ์แสดงระดับของผู้เล่นออก และไม่แสดง Skill tiers ของผู้เล่น จะแสดงแค่ Name Card และ Title เท่านั้น
ทีมพัฒนาได้ออกแบบกระดานแสดงคะแนนแบบใหม่และตัดส่วนแสดงเหรียญรางวัลออก เพราะเหรียญรางวัลอาจไม่ได้บ่งชี้คุณสมบัติของผู้เล่นอย่างชัดเจน ข้อมูลแบบใหม่จะสื่อสารระหว่างผู้เล่นในทีมได้มากขึ้นและช่วยให้ผู้เล่นสามารถวางแผนการเล่นได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบ Ping แบบใหม่ที่ช่วยให้ผู้เล่นในทีมสามารถสื่อสารกันด้วยระบบคำสั่งแบบเสียง โดยไม่จำเป็นต้องเปิดไมค์
ฟีเจอร์ Game Reports
Game Reports เป็นฟีเจอร์สรุปข้อมูลจากทุกเกมที่จะช่วยให้ผู้เล่นพัฒนาทักษะการเล่นให้ดียิ่งขึ้น โดยจะอยู่ใน History Tab ของส่วนแสดง Career Profile ที่จะแสดงสถิติทั้งภาพรวมของทุกเกม แต่ละเกม และแต่ละฮีโรที่เลือกใช้
กระดานแสดงผล Top 500
กระดานแสดงผล Top 500 จะปลดล็อกเมื่อทำตามเงื่อนไขในทุกครั้งที่ขึ้นซีซันใหม่ เช่น เล่นครบ 25 เกมในโหมด Role Queue หรือเล่นครบ 50 เกมใน Open Queue กระดานแสดงผลจะแตกต่างกันไปตามแต่ละแพลตฟอร์มที่เล่น
ระบบจับคู่ผ่าน Skill Decay ของโหมด Competitive
ทีมพัฒนาได้เตรียมระบบช่วยเหลือสำหรับผู้เล่นที่ห่างหายจาก Overwatch ไปนาน โดยใช้เรตการจับคู่กับผู้เล่นที่มี Skill level ต่ำกว่าเล็กน้อย เมื่อผู้เล่นคนดังกล่าวเล่นเกมอย่างต่อเนื่อง ระบบจะจับคู่ให้เจอกับผู้เล่นระดับเดียวกันโดยอัตโนมัติ
รางวัลจากโหมด Competitive
การจัดลำดับใน Competitive play จะแบ่งตามตารางภาพรวมของเกมในแต่ละซีซัน หลังจากจบหนึ่งซีซันผู้เล่นจะได้รับไอเทมประดับ Name Card แสดง Title ตามระดับของตนเอง และจะใช้ได้เฉพาะในซีซันถัดไปเท่านั้น ส่วนคะแนน Competitive Points จะได้รับ 10 points ต่อ 1 เกมที่ชนะ เมื่อสะสมถึง 3,000 points จะสามารถปลดล็อกอาวุธสีทองของฮีโรคนใดก็ได้
Overwatch 2 เตรียมเปิดให้อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ เวลา 02.00 น. (เวลาประเทศไทย) บนแพลตฟอร์ม PlayStation 4, PlayStation 5, Xbox One, Xbox Series X|S, Nintedo Switch และ PC ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://playoverwatch.com
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับข่าวสารวงการเกมครับ*