แนวเกม แอ็คชั่นอาร์พีจี
แพลตฟอร์ม PS4, PS5, Xbox One, Xbox Series, PC
เรตเกม PEGI: 18 เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
อีกหนึ่งซีรีส์ที่หลายคนคิดว่าแท้งไปแล้วหลังภาคแรกออกมาแป้ก แต่ก็ยังแอบฝืนลุยต่อคลอดผลงานใหม่มาให้พวกเราเล่นกันอีกจนได้ กับตัวเกมภาคสองที่หากใครได้หลงซื้อไปเป็นต้องชอกช้ำใจจนวันตาย
เนื่องจากเป็นแฟรนไชส์เกมอินดี้เกรดบีที่น้อยคนนักจะรู้จัก (ขนาดตัวผู้รีวิวเองก็เพิ่งเคยได้ยินชื่อ) ดังนั้นก่อนอื่นจึงต้องขอเท้าความกันสักเล็กน้อย เนื้อหาของเกม Elex นั้นจะบอกเล่าเหตุการณ์บนดาวเคราะห์ Magalan ที่โดนดาวหางพุ่งตกใส่ทำลายล้างจนสังคมล่มสลาย เหล่าผู้คนที่เหลือรอดชีวิตต่างแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเพื่อแย่งชิงแร่ธาตุทรงพลังหายาก ซึ่งหนุ่มตัวละครเอก "แจ๊กซ์" (Jax) เขาก็ถูกดึงเข้ามาพัวพันในศึกสงครามแย่งชิงทรัพยากรดังกล่าวด้วย และถึงแม้ว่าไฟความขัดแย้งในภาคแรกจะสงบจบลงไปแล้ว แต่ภารกิจของแจ๊กซ์ยังไม่สิ้นสุดง่ายๆเมื่อมีภัยอันตรายร้ายแรงระดับเขย่าดวงดาวครั้งใหม่กำลังมาเยือนจากฟากฟ้า และมีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้นที่จะสามารถหยุดยั้งมัน
ครั้งแรกที่จับก็รับรู้ได้ทันทีว่าเกมเพลย์แอ็คชั่นอาร์พีจีของมันได้อิทธิพลแรงบันดาลใจหลักมาจากซีรีส์เกมดังของค่าย FromSoftware อย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยแดเมจการโจมตีของศัตรูที่รุนแรง ในขณะที่ตัวละครของเราจะมีแถบค่าพลังสตามินาสีส้มเอาไว้ออกแอ็คชั่นท่าทางต่างๆ แต่แน่ละเรื่องคุณภาพ แอนิเมชั่น และฟีลอารมณ์การต่อสู้ในของก๊อปลอกเลียนแบบอาจสนุกสมจริงสู้เทียบชั้นต้นฉบับไม่ได้ แถมลอกเขาทั้งทียังไม่มีปัญญาความสามารถพอที่จะเดินตามไปให้สุด ดังจะเห็นได้จากระบบล็อคเป้าภายในเกมที่ต้องกดปุ่มโจมตีให้ตัวละครชักอาวุธขึ้นมาเสียก่อนถึงจะกดล็อคเป้าหมายศัตรูได้ หรือแม้กระทั่งตอนสำรวจหยิบไอเทมตามฉากก็ต้องกดสี่เหลี่ยมเก็บอาวุธเข้าซองเสียก่อนถึงจะสามารถเก็บของตามพื้นได้ แม้มืออีกข้างจะว่างอยู่ก็ตาม ซึ่งตลอดทั้งเกมมันก็จะมีอะไรแปลกพิสดารแบบนี้โผล่ขึ้นมาให้เราร้องอุทานอิหยังวะอยู่เรื่อยๆ
ตอนสตาร์ทเปิดเกมขึ้นมา ผู้เล่นจะเริ่มต้นด้วยตัวละครเปล่าๆไร้ชุดเกราะป้องกัน มีแค่ท่อเหล็กแป๊ปกันหมาเพียงท่อนเดียวเอาไว้ตีเหล่าอสูรกายตามรายทางที่จ้องจะเข้ามางับ แต่เมื่อเล่นสำรวจโลกโอเพ่นเวิลด์ไปเรื่อยๆนานเข้าตัวละครของคุณก็จะค่อยๆแข็งแกร่งขึ้น มีชุดเกราะดีๆให้สวมใส่ มีอาวุธปืนแรงๆให้ได้ใช้ และมีสกิลเวทมนตร์แปลกๆใหม่ๆให้ได้ลอง ดำเนินไปตามสูตรเบสิคของเกมแนวแอ็คชั่นอาร์พีจีทั่วไปไม่มีอะไรแตกต่าง อย่างไรก็ตามในภาคใหม่นี้ผู้เล่นสามารถบินลอยกลางอากาศได้แล้วจากอุปกรณ์ Jetpack ติดหลังที่ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่ ทำให้การเดินทางและการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งดูมีมิติมากยิ่งขึ้น ทว่ายิ่งบินสูงก็ยิ่งเสี่ยงตกลงมาตายได้เช่นกันหากไอพ่นของเราไม่พอใช้แก๊สหมดกลางทาง
สำหรับโค้ดเกมที่เราได้รับมารีวิวนั้นมันเป็นเวอร์ชัน เพลย์สเตขัน 5 แต่จากภาพประกอบสกรีนช็อตที่เราถ่ายมาจะเห็นได้ว่ากราฟิกของเกมมันไม่ได้สวยงามสมกับขุมพลังของเครื่องคอนโซลสักเท่าไหร่ ดูไปให้ความรู้สึกเหมือนเกมต้นยุค PS3 เสียมากกว่า ไม่ว่าจะโมเดลใบหน้าตัวละคร ดีเทลรายละเอียดพื้นผิว ฉากหลังสภาพแวดล้อม แสงเงาต้นไม้ใบหญ้า ทุกสิ่งล้วนดูเป็นงานเผาเร่งรีบทำออกมาลวกๆ แถมทั้งตัวเกมยังประสบปัญหาเฟรมเรตตกร่วงหล่นกระจายวิ่งอยู่ที่ราวๆ 30 - 40 fps รวมถึงมีอาการ Screen Tearing ปรากฏให้ได้เห็นหงุดหงิดสายตาอยู่เป็นระยะ ทั้งที่ภายในเกมไม่เห็นมีช่วงไหนเลยที่ต้องใช้การประมวลผลภาพกราฟิกหนักๆ แม้กระทั่งขณะตอนเราเปิดแม็พแผนที่ 2D ขึ้นมาดูแผนผังเส้นทาง ม๊านก็ยังอุตส่าห์กระตุก!! (เชื่อเขาเลย)
อีกหนึ่งองค์ประกอบหลักที่ตัวเกมพยายามลอกเลียนอยากจะเดินรอยตามเขา นั่นคือระบบทางเลือกพูดคุยสนทนาถามตอบที่จะส่งผลลัพธ์ตามมาแบบซีรีส์เกม Mass Effect แต่เนื่องด้วยทักษะการเล่าเรื่องที่ห่างชั้นและสีหน้าตัวละครที่แข็งเป็นท่อนไม้ไร้อารมณ์ขาดเสน่ห์ ไม่ว่าตัวเลือกไหนใครจะโกรธหรือกิ๊กกับใครมันก็ไม่ได้มีความหมายส่งผลกระทบต่อจิตใจเรามากนัก พอไม่อินมันก็กลายเป็นแค่เกมอาร์พีจีที่มีแต่ฉากพูดพล่ามน่าเบื่อชวนปิดไฟนอน นอกจากนี้การดำเนินเควสต์ก็ค่อนข้างเป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะตัวเกมแบบ Default จะไม่มีเครื่องหมายหรืออะไรคอยชี้นำทั้งสิ้น ปล่อยให้ผู้เล่นเดินสำรวจโลกกว้างคลำหาทางไปต่อกันเอาเองเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ขนาด Elden Ring ที่ว่าไม่ค่อยช่วยเหลือผู้เล่นมันยังมีลำแสงสีทองคอยชี้เป้าที่เราควรมุ่งไป แต่สำหรับเกมนี้หากเราต้องการมาร์คเกอร์ช่วยระบุตำแหน่งเควสต์ คุณต้องเข้าไปกดแทร็คติดตามในหน้าเมนูภารกิจ ซึ่งตัวเกมก็ไม่ได้บอกกล่าวสอนอะไรเกี่ยวกับฟังก์ชันนี้เลย ทำให้ผู้เล่นหน้าใหม่หลายคนงงเป็นไก่ตาแตกเสียเวลาเดินหาอยู่หลายชั่วโมง
Elex II ถูกสร้างมาเป็นเกมอาร์พีจีเน้นเล่นคนเดียว ดังนั้นหากใครต้องการซื้อมันมาเล่นออนไลน์ Co-op กับเพื่อนๆก็คงชวดสิทธิ์หมดหวัง ซึ่งมันถือเป็นเรื่องโชคดีสำหรับเหล่ามิตรสหายของคุณแล้วละที่จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียอารมณ์ความรู้สึกกับเกมคุณภาพต่ำทำมาหวังหลอกดูดเงินจากกระเป๋า ด้วยรูปภาพปกโปรไฟล์ตัวละครเอกสวมเกราะสุดไฮเทคให้ผู้เล่นเพ้อฝันมโนว่าจะได้หลุดเข้าไปอยู่ในดินแดนอนาคตไซไฟล้ำยุค แต่ที่ไหนได้เมื่อลองสัมผัสจริงกลับเป็นหนังคนละม้วน เพราะเวลาส่วนใหญ่เราจะได้สู้อยู่ภายใต้ชุดเกราะบ้านๆโหลๆ ถือดาบแบกโล่เข้าห้ำหั่นศัตรูอย่างกับอัศวินยุคกลาง ต้องอดทนเล่นนานเลยกว่าจะได้ใช้ของทันสมัยล้ำยุคสมใจอยาก ความรู้สึกเหมือนคนถูกหักอกโดนหลอกชวนร้อง สคบ. เลยทีเดียว
"พูดถึง เกมยาก จริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นเรื่องใหม่อะไรเลย เพราะสมัยก่อนก็มีให้เล่นกันเกลื่อนและเป็นสิ่งที่นักพัฒนาหน้าไหนก็ทำได้ จะให้เลือดบอสยาวเหยียด ตีแรงวันช็อตดับ หรือโหดโกงแค่ไหนล้วนกำหนดได้ทั้งนั้น แต่สิ่งที่ทำให้ซีรีส์โซลส์โดดเด่นเป็นกระแสฮิตขึ้นมา เราว่ามันไม่ใช่เรื่องของความยากหรอก หากแต่เป็นสิ่งหอมหวนชวนดมที่อยู่หลังกำแพงอุปสรรค เสมือนดั่งเงินรางวัลในรายการเกมโชว์ที่ถ้าสูงคุ้มค่ามากพอ มันก็จะดึงดูดเชื้อเชิญเหล่าผู้กล้าให้กลับมาตายแล้วตายอีกไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ซึ่งไอ้รางวัลความคุ้มค่าที่ว่านี้มันไม่ใช่สิ่งที่ใครๆจะลอกเลียนแบบกันได้ เพราะมันต้องอาศัยทั้งประสบการณ์ มันสมองไอเดีย ทุนกำลังทรัพย์ และความทุ่มเทตั้งใจอย่างถึงขีดสุด ถ้านักพัฒนาเกมรายไหนขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งเหล่านี้ไปก็คงผลิตออกมาได้แต่ผลงานยากๆที่คล้ายเพียงแค่เปลือก เหมือนอย่างเกม Elex II นี้ที่เล่นแล้วรู้สึกขัดใจขัดอารมณ์ไปซะหมด เสียดายชื่อค่ายเกมโปรด THQ Nordic ที่พวกเขาน่าจะลองเทสต์มันก่อนที่จะตัดสินใจยื่นมือเข้ามาเป็นตัวแทนจัดจำหน่าย"
เกมเพลย์ | 0 |
กราฟิก | 0 |
เสียง | 0 |
ความคิดสร้างสรรค์ | 0 |
ภาพรวม | 0 |
ข้อดี: -
ข้อเสีย: กราฟิกเหมือนหลุดมาจากยุค PS3, เฟรมเรตตกวิ่งต่ำแค่ 30 fps กว่าๆ, อาการ Screen Tearing กำเริบบ่อยพบเห็นได้ทั่ว, ระบบต่อสู้นับว่าแย่จัด, ศัตรูมีท่าโจมตีแพทเทิร์นเดียวกันหมด, ตลอดทั้งเกมมีแต่เดินสลับยืนคุยกับ NPC ถามตอบกันยืดยาว, บางเรื่องที่สำคัญกลับไม่สอนปล่อยให้ผู้เล่นคลำหาทางกันเอง, หน้าต่างเมนูดูสับสนชวนงง, กลไกชักดาบเก็บอาวุธที่ไม่รู้วัตถุประสงค์ และบรรยากาศข้าวของเครื่องใช้ส่วนใหญ่ที่ไกลห่างคำว่า "ไซไฟ"
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*