แนวเกม แอ็คชั่นอาร์พีจีโอเพ่นเวิลด์
แพลตฟอร์ม PS5, PS4, Xbox One, Xbox Series, PC
เรตเกม PEGI: 18 เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
***จำเป็นต้องใช้ตัวเกมภาคหลักในการเล่น***
เนื้อหาเสริมที่บ่งชี้ถึงความใจกล้าเด็ดเดี่ยวของค่าย ยูบิซอฟต์ ผู้พร้อมหันหลังแตกหักกับกลุ่มแฟนคลับดั้งเดิม แอสซาซินครีด เพื่อเดินหน้าไปต่อให้สุดในหนทางที่ตนเลือก
สำหรับ Dawn of Ragnarök นับเป็นเนื้อหาเสริมลำดับที่สามและเนื้อหาเสริมตัวสุดท้ายแล้วของเกม Assassin's Creed Valhalla โดยมันเป็น DLC ตัวเดียวที่ถูกขายแยกเดี่ยวไม่มัดรวมอยู่ในซีซั่นพาส แตกต่างจากสอง DLC ก่อนหน้า ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเคยซื้อตัวเกมชุดใหญ่มา หรือเป็นผู้เล่นหน้าใหม่หน้าเก่าก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินเพิ่มเหมือนกันหมด
เรื่องราวจะบอกเล่ากล่าวถึงการทำพิธีกรรมย้อนอดีตรำลึกชาติของ Eivor ตัวละครเอกของเกมที่ต้องหลบหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงขอพักงานรุกรานอังกฤษเอาไว้ก่อน เพื่อถอดจิตสวมวิญญาณเป็น "ฮาวี" (Havi อีกชื่อเรียกหนึ่งของมหาเทพโอดิน) ออกต่อสู้ท่องผจญภัยภายในดินแดนแห่งความฝัน สถานที่ซึ่งบุตรชายของเขาถูกอสูรไฟบรรลัยกัลป์ "เซอร์เทอร์" (Surtr) จับตัวไป และมันอาจเป็นชนวนเหตุสำคัญที่นำมาสู่จุดเริ่มต้นแห่งกาลอวสานตามตำนานนอร์ส
การเข้าเล่น DLC ตัวใหม่นี้มีอยู่ด้วยกันสองวิธี หนึ่งคือเล่นต่อจากเซฟวัลฮัลลาเดิม โดยเราต้องเล่นผ่านช่วงต้นของเกมไปสักพักจนถึงช่วงสร้างแคมป์ฐานที่มั่นใน Ravensthorpe ซึ่งเราต้องบิลด์สิ่งปลูกสร้างต่างๆเพื่อให้ค่าระดับ Settlement ของเราแตะเลเวล 3 เป็นอย่างต่ำ แล้วตัวละคร NPC ร่างทรง Valka the Seer ก็จะโผล่ปรากฏตัวขึ้นมาในแผนที่พร้อมกับเควสต์ที่ชื่อว่า Restless Dream แต่ก่อนจะไปคุยกับเธอเราต้องไปตรวจสอบต้นไม้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเสียก่อนเพื่อทดสอบระดับความแข็งแกร่งของตัวละครว่าพร้อมลุยเนื้อหาเสริมตัวนี้หรือเปล่า? ถ้าเลเวลเราสูงพอก็คงผ่านบอสตัวแรกไปได้แบบฉลุย แต่ถ้าไม่ก็แสดงว่าตัวละครของเรายังไม่พร้อม จะกลับไปฟาร์มแคมเปญต่ออีกสักนิดหรือจะปรับลดระดับความยากของเกมลงแล้วอาศัยกะจังหวะหลบแม่นๆพยายามซ้ำๆจนกว่าจะผ่าน ก็ได้ทั้งนั้น
ส่วนวิธีที่สองน่าจะเหมาะสำหรับผู้เล่นหน้าใหม่สดซิงที่ไม่เคยสัมผัสตัวเกมวัลฮัลลามาก่อนเลย กับการกด New Game เลือกเล่นเนื้อหาเสริม Dawn of Ragnarök ผ่านหน้าจอเมนูไตเติ้ลที่จะพาคุณลัดตัดเข้าสู่ฉากเริ่ม DLC ทันที โดยที่ตัวละครของคุณจะถูกบูสต์เป็นเลเวลขั้นต่ำ 340 อัตโนมัติ พร้อมกับมอบไอเทมอาวุธชุดเกราะอัปเกรดขั้นเต็มแม็กซ์ให้เรายืมสวมใส่ชั่วคราว อย่างไรก็ตามข้อมูลเซฟจากการเลือกเล่นแบบนี้จะไม่สามารถนำไปเล่นต่อในภาคหลักวัลฮัลลาได้ ผิดกับการเลือกบูสต์เลเวลตัวละครจากเซฟเก่าที่เรายังคงเก็บรักษาไอเทมทุกสิ่งที่เหนื่อยควานหามาได้จาก DLC เอาไปใช้ในเกมภาคหลักได้ แม้ว่าของยืมเทพๆที่ตัวเกมให้มาฟรีในช่วงต้นจะอันตรธานหายไปตอนที่เราลืมตาตื่นจากความฝันก็ตาม
โลกโอเพ่นเวิลด์ขนาดกะทัดรัดไม่ใหญ่มากที่ตัวเกมให้เราได้มาผจญภัยกันในครั้งนี้ มันมีชื่อว่า Svartálfaheimr หนึ่งใน 9 อาณาจักรของตำนานเทพปกรณัมนอร์ส ดินแดนบ้านเกิดเมืองนอนของพวกคนแคระ ชนเผ่าตัวเล็กที่ชื่นชอบการทำเหมืองขุดแร่อาศัยใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ใต้พื้นดิน ซึ่งจากการบุกรุกรานของกองทัพอสูรไฟและยักษ์น้ำแข็งจึงทำให้เราผูกมิตรกับพวกเขาได้อย่างง่ายดายเพราะต่างฝ่ายต่างมีเป้าหมายและผลประโยชน์ร่วมกัน ในขณะที่เราเดินทางท่องเที่ยวไล่สังหารศัตรูภายในอาณาจักรอันสวยงามตระการตาที่เต็มไปด้วยเหมืองถ้ำ หินแร่ทองคำ ภูเขาลอยฟ้า และมีลาวาไหลเยิ้มอยู่เบื้องล่างนั้น พวกเขาเผ่าตัวจิ๋วก็จะคอยสนับสนุนเราด้วยอาวุธชั้นดีที่ถูกหลอมตีขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน นั่นเอง
ถึงแม้ผู้เล่นจะเคยสวมบทบาทเป็น มหาเทพโอดิน มาแล้วในผลงานเกมภาคหลักวัลฮัลลา แต่ทว่าการกลับมารอบสองนี้ตัวละครของเราจะมีพลังที่มากกว่าและเหนือกว่าเมื่อคราวก่อน โดยพลังวิเศษที่ว่านี้เราจะได้รับมาจากการแอบขโมยยืมความสามารถของศัตรูมาใช้เพียงชั่วครู่ ซึ่งตลอดเนื้อหาเสริมนี้จะมีพลังอยู่ 5 รูปแบบที่แตกต่างให้เราได้ตามเก็บจากศพศัตรู ยกตัวอย่าง Power of Muspelheim พลังแห่งเพลิงที่ให้เราเดินปะปนท่ามกลางอสูรไฟลุยทะเลลาวาได้สบาย, Power of Jotunheim พลังของสายวาร์ปที่ให้เราแวบไปแวบมาภายในฉากได้อย่างรวดเร็วว่องไว หรือหากใครชอบสำรวจคงถูกใจกับ Power of Raven พลังที่ให้เราแปลงกายเป็นวิหคโบยบินอิสระกลางเวหาสามารถบินตรงไปยังจุด Synchronize สูงๆได้ไม่ต้องเสียเวลาปีนให้เหนื่อย อีกทั้งพลังเหล่านี้เรายังเลือกอัปเกรดเพิ่มเติมความสามารถใหม่ๆลงไปได้อีกต่างหาก ถือเป็นจุดขายเด่นของเนื้อหาเสริมนี้เลยทีเดียว
อย่างที่ ยูบิซอฟต์ คุยโปรโมทไว้ว่าภายในเนื้อหาเสริม Dawn of Ragnarök นี้จะบรรจุคอนเทนต์ให้คุณได้เล่นนานกว่า 30 ชั่วโมง ซึ่งมันก็จริงแต่ถ้าให้พูดแบบชัดเคลียร์มันหมายถึงคุณต้องนั่งเล่นไซด์เควสต์ทั้งหมดเก็บทุกสิ่งทำทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์นะ ส่วนมิชชั่นที่เป็นเนื้อหาหลักจริงๆรวมบทสนทนาอันยืดยาวด้วยแล้วมันอาจใช้เวลาไม่ถึง 10 ชั่วโมงในการเล่นจบ จะว่าสั้นมันก็สั้นแหละกับ DLC ราคาตั้ง 40 เหรียญ หนำซ้ำกิจกรรมเกือบทั้งหมดก็เป็นการย้อมแมวของเก่านำกลับมาให้เราเล่นอีกหน ทั้งการนำกองเรือล่องไปตามแม่น้ำ การแอบย่องลอบเร้นลักทรัพย์ ไปจนถึงเควสต์ Raid บุกตีขโมยทรัพยากรที่เปลี่ยนจากการพาเพื่อนมาช่วยดันเปิดหีบสมบัติ มาเป็นช่วยกันดันแท่นเสาสีทองเพื่อเอาหินแร่ Silica เหล่านี้มิใช่สิ่งที่เราคาดหวังจากการได้สวมบทเป็นมหาเทพโอดินเลยสักนิด และเชื่อว่าในใจลึกๆทุกคนคงอยากได้ความอลังการหลุดโลกปล่อยของเต็มที่ทิ้งทวนก่อนจาก แต่พอเราเป็นได้แค่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาสกิลความสามารถไม่ได้เหนือไปกว่า เอวอร์ งานเลี้ยงอำลาส่งท้าย Assassin's Creed Valhalla ตีมอารมณ์ของมันจึงดูเหมือนกับงานไว้อาลัยซะมากกว่า
"สรุปรวมแบบบ่นๆ ยูบิซอฟต์ ณ เวลานี้พวกเขาเหมือนเรือไร้หางเสือที่พร้อมลอยพัดไปตามกระแสน้ำเชี่ยวกราก เห็นอะไรดีงามก็อยากลอกเลียนแบบวิ่งไล่ตามเขา พยายามเอาข้อดีของเกมนั้นเกมนี้มาผสมผสานจนบางทีก็หลงลืมในสิ่งที่ตัวเองเป็น เหมือนอย่างเช่นกรณีของเกมวัลฮัลลากับเนื้อหาเสริมต่างๆที่ตามมาซึ่งล้วนสับสนในจุดยืนดูเละเทะสะเปะสะปะไปหมด ระบบต่อสู้ไม่เด่น ระบบลอบเร้นไม่ดี ยังคิดเอาตำนานทวยเทพที่ผู้คนศรัทธามายำเล่นอีก แถมภาคใหม่ในอนาคตก็ไม่รู้จะออกมาหน้าตาเป็นยังไง ซึ่งเราคิดว่าหนทางออกที่เวิร์คสุดสำหรับซีรีส์นี้ที่กำลังเจอทางตัน มันคือการยอมเดินถอยหลังย้อนกลับมายังจุดสตาร์ทเพื่อเริ่มต้นใหม่ แต่นั่นคงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากกับบริษัทพัฒนาเกมที่ไม่ค่อยใส่ใจฟังเสียงเรียกร้องของแฟนๆสักเท่าไหร่"
เกมเพลย์ | 7 |
กราฟิก | 8 |
เสียง | 8 |
ความคิดสร้างสรรค์ | 6 |
ความคุ้มค่า | 5 |
ภาพรวม | 6.8 |
ข้อดี: โลกคนแคระสวาร์ทัลฟ์เฮมดีไซน์มาอย่างสวย, พื้นผิวอาวุธชุดเกราะสุดเงาวับ, ลูกเล่นดูดซับพลังจากศัตรูดูน่าสนใจ, ระบบบูสต์เลเวลช่วยมือใหม่ไม่ว่าใครก็เข้าถึงเล่นได้เลย และเป็นการปิดฉากภาควัลฮัลลาหมดเวรหมดกรรมกันเสียที
ข้อเสีย: เกมเพลย์ต่อสู้หาความสนุกแทบไม่เจอ, AI ลูกผีลูกคนวิ่งวนไปมั่ว, แอ็คชั่นปีนป่ายยังติดๆขัดๆในบางจุด, มุมกล้องตอนปะทะซูมเข้าซูมออกหมุนไปมาชวนเวียนหัว, แสงสี HDR ดูหมองมัวมองอะไรไม่ค่อยชัด, เงื่อนไขการใช้พลังค่อนข้างจำกัดรู้สึกเหมือนคนธรรมดามากกว่าเทพ, เควสต์กิจกรรมซ้ำเก่าเพียงแค่รีสกินใหม่, เนื้อหาจริงๆแสนสั้นบอสก็น้อยไม่ค่อยคุ้มนักกับราคา และฝูงหนูกับลาวาที่ดันอันตรายยิ่งกว่าเซอร์เทอร์
(ปล. ข้อเสียส่วนใหญ่ก็มาจากภาควัลฮัลลานั่นแหละ)
สนับสนุนบทความรีวิวโดย บริษัท ยูบิซอฟต์
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*