แนว ไฟท์ติ้ง
ระบบ PS5, PS4, PC
เรตเกม PEGI: 12 เหมาะสำหรับผู้เล่นที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป
ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ซีรีส์เกม 2D ไฟท์ติ้งดุเดือดเลือดพล่าน ที่มาปรากฏกายอยู่บนเครื่องคอนโซล เพลย์สเตชัน 5 กับภาคที่เราคิดว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับใครก็ตามที่อยากเข้ามาลิ้มลองสัมผัสความมัน
เมื่อพูดถึงซีรีส์ Guilty Gear ความทรงจำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองเราคงเป็นภาพของเกมต่อสู้ฮาร์ดคอร์ที่มีระบบการเล่นค่อนข้างลึกซึ้งและมีรายละเอียดปลีกย่อยให้เรียนรู้เยอะแยะมากมาย ซึ่งอาจทำให้ใครหลายๆคนไม่กล้าจับกลัวโดนด่าว่า Noob เลยหันไปมองหาเกมต่อสู้อื่นๆในท้องตลาดที่มันเริ่มต้นฝึกฝนได้ง่ายกว่า และนั่นถือเป็นปัญหาหลักที่ทางทีมผู้พัฒนา Arc System Works ต้องการเปลี่ยนแปลงแก้ไขมันมาโดยตลอด จวบจนกระทั่งถึงปัจจุบันพวกเขาก็เริ่มขยับใกล้ความฝันเข้าไปอีกขั้น กับผลงานภาคใหม่ทำลงทั้งเครื่องคอนโซลและพีซีที่ใช้ชื่อว่า Guilty Gear Strive
อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น สิ่งที่พวกเขาทำกับภาคนี้มันไม่ใช่การทำให้ตัวเกมเล่นง่ายขึ้น แต่เป็นการทุ่มเทจริงจังใส่ใจในเรื่องของการอธิบายระบบต่างๆภายในเกม รวมไปถึงการปรับระดับคู่ต่อสู้ที่พบเจอให้เหมาะสมกับตัวเรา (ไว้ค่อยกล่าวถึงอีกทีในช่วงท้าย) โดยอันดับแรกเลยคือตัวเกมจะใส่โหมด Mission เข้ามาที่คอยกำหนดบทเรียนทดสอบทักษะผู้เล่นในแต่ละหัวข้อเหมือนภาคก่อนๆ ไล่ตั้งแต่พื้นฐานการบังคับตัวละคร ระบบลูกเล่น ปุ่มกดและเกจต่างๆ ยาวไปจนถึงทักษะขั้นสูงอย่างเทคนิคการแคนเซิลท่วงท่าแอนิเมชั่นหรือการผสมต่อคอมโบขั้นสุดยอดลดหลอดเลือดทีเดียวครึ่งปรอท ซึ่งตัวเกมจะบอกกล่าวแนะนำทุกขั้นตอนพร้อมกับมีโชว์สาธิตให้ดูก่อนที่จะให้เราลงมือปฏิบัติจริงด้วย โดยเราต้องทำให้ได้สำเร็จอย่างน้อย 3 ใน 5 ครั้งเพื่อผ่านบทเรียนนั้นๆ เป็นการการันตีว่าเราเข้าใจมันอย่างถ่องแท้แล้วจริงๆมิได้มาจากการมั่วกดฟลุค อีกทั้งเมื่อเคลียร์สำเร็จเราก็จะได้รับของรางวัลตอบแทนความพยายามด้วยนะจะบอกให้
สำหรับคอนเซปต์ภาพรวมของเกม สามารถพูดได้แบบเต็มปากเต็มคำว่า ภาคนี้ทำออกมาเพื่อเอาใจผู้เล่นสายรุกเดินเกมบุกเป็นหลัก เนื่องด้วยระบบเกจ Tension (เกจสีเหลืองเขียวข้างใต้) ที่เป็นทรัพยากรสำคัญในการกดใช้ท่าพิเศษต่างๆนั้นจะมีการ Regenerate เด้งขึ้นไวในทุกครั้งที่ตัวละครสืบเท้าวิ่งเข้าหาคู่ต่อสู้หรือออกแอ็คชั่นโจมตีใส่ ต่อให้หมัดที่ปล่อยออกไปนั้นจะโดนศัตรูบล็อกไว้เกจก็ยังขยับเพิ่มให้ไม่หยุดหย่อน แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเรามัวแต่หนีล่าถอยถ่วงให้เวลาหมด นอกจากเกจดังกล่าวจะไม่ขยับขึ้นแล้ว หากกดแดชถอยหลังบ่อยๆเข้าระบบจะแจ้งเตือนอันตรายและถ้ายังดื้อฝืนกดแดชถอยต่อไปอีกหลอดเกจ Tension ทั้งหมดที่อุตส่าห์สะสมมาก็จะพร่องหายวับไปกับตาราวกับว่าโดนธานอสดีดนิ้วยังไงยังงั้น ถือเป็นโทษทัณฑ์ฐานขี้ขลาดตาขาวไม่มีน้ำใจนักกีฬา และยิ่งไปกว่านั้นเกจค่าพลังดังกล่าวจะไม่ถูกยกยอดไปสมทบในรอบหน้า นั่นหมายความว่ารอบนี้มีเท่าไหร่คุณต้องใส่ให้หมดแม็กอัดท่าไม้ตายอย่าได้ยั้งมือเผื่อรอบถัดไปโดยเด็ดขาด คิดซะว่าทุกรอบที่คุณสู้มันคือแมตช์สุดท้ายของชีวิต ด้วยเงื่อนไขอะไรต่างๆเหล่านี้เองจึงทำให้มันเป็นเกมต่อสู้ที่เปิดหน้าแลกบุกแหลกดูสนุกเพลิดเพลินสุดๆทั้งคนเล่นและคนดู
ในส่วนระบบพลิกเกมอย่าง Psych Burst (เกจสีฟ้าด้านบน) ผลักกระแทกศัตรูที่กำลังรัวหมัดใส่เราให้กระเด็นออกไป และ Roman Cancel (ใช้ครึ่งเกจ Tension) หยุดเวลาแคนเซิลทุกท่วงท่า ก็ถูกบรรจุกลับเข้ามาให้ใช้งานอย่างครบครัน ซึ่งระบบกลไกทั้งสองดังกล่าวเราว่ามันมีไว้สำหรับผู้เล่นขาเซียนที่กะจังหวะเก่งๆแล้วเท่านั้น ไม่ค่อยเหมาะสำหรับผู้เล่นหน้าใหม่เพิ่งจับครั้งแรกสักเท่าไหร่ เพราะถ้าใช้ไม่เป็นกดผิดจังหวะจะทำให้เราเสียเกจพลังไปเปล่าๆฟรีๆไม่มีประโยชน์ เอาไว้เซียนแล้วเทพแล้วค่อยหันมาใช้ปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นจากสะสมเกจ Tension เพื่อรอปล่อยท่าไม้ตายเบสิคธรรมดาที่ผู้เล่นส่วนใหญ่มักบล็อกหลบหลีกได้ มาเป็นการเล่นสะสมเกจ Tension ไว้กดแคนเซิลท่าแอนิเมชั่นเพื่อจัดหนักต่อคอมโบชุดใหญ่ไฟกระพริบอันเป็นอะไรที่แน่นอนควบคุมได้ จะดีกว่า
ท่ามกลางเกมไฟท์ติ้งสมัยใหม่ที่เปลี่ยนหันมาใช้การนำเสนอภาพกราฟิกแบบ 3D กันจนเกือบหมดแล้ว (ไม่เว้นแม้กระทั่ง Street Fighter) แต่กับซีรีส์เกม Guilty Gear ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนานกว่า 20 ปีแล้วพวกเขาก็ยังคงยึดมั่นศรัทธาในกราฟิกสไตล์ ภาพวาดอนิเมะ 2D อย่างไม่มีเสื่อมคลาย โดยตัวเกมในเวอร์ชันใหม่ล่าสุดปี 2021 นี้ได้เพิ่มเทคนิคลูกเล่นใหม่ๆเพื่อให้มันออกมาดูร่วมสมัยไม่ตกเทรนด์ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการซ้อนภาพเล็กใหญ่ใกล้ไกล ไล่เฉดสีแสงเงาเพื่อให้ฉากหลังแบคกราวน์มีมิติความลึกดูน่าสนใจขึ้นมา ในขณะที่บางจังหวะเราอาจจะได้เห็นมุมกล้องหมุนแพนรอบตัวละครได้ 360 องศา อย่างเช่นจังหวะเผด็จศึกตัดสินชี้ขาด Slash หรือเวลาเราอัดศัตรูทะลุกำแพงไปสู่พื้นที่โซนใหม่ๆ ใช่แล้วครับ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ไฮไลท์เด็ดที่ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่ในภาคนี้ กับระบบกลไก Wall Break ที่ถ้าหากเรากระหน่ำคอมโบอัดคู่ต่อสู้จนหลังชิดติดขอบด้านซ้ายหรือขวาไปเรื่อยๆ กำแพงกระจกใสที่เป็นฉากกั้นจะค่อยๆเริ่มมีรอยร้าวและแตกพังทลายลงในที่สุด แถมการซัดศัตรูปลิวลอยข้ามฉากนี้ก็ยังช่วยให้เราได้บัฟโบนัสพิเศษเกจ Tension เด้งขึ้นไวกว่าปกติอีกด้วย
แม้จะเป็นเกมแนวต่อสู้ แต่ทีมผู้พัฒนาก็ได้สอดแทรกเนื้อเรื่อง Story มาให้รับชมกันด้วย ในลักษณะเป็นหนังมูวี่เรื่องยาวให้เราปล่อยคอนโทรลเลอร์พักผ่อนเอนกายนั่งดูไปเพลินๆ โดยเนื้อหาจะเดินเรื่องเล่าต่อเนื่องจากภาคก่อน ภายหลังจากที่จอมวายร้ายหน้าเด็ก Asuka R. Kreutz ได้ยอมจำนนให้รัฐบาลสหรัฐจับกุมตัวไป ในขณะที่ปัจจุบันงานประชุมสุดยอดผู้นำมหาอำนาจ G4 กำลังจะใกล้เปิดฉากขึ้น แต่จู่ๆกลับเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นเสียก่อน งานนี้ทั้ง Ky Kiske และ Sol Badguy สองพระเอกดาวเด่นจึงต้องจับมือร่วมกันอีกครั้งเพื่อเข้าคลี่คลายสถานการณ์ และถือเป็นภาคบทสรุปแห่งมหากาพย์ศึกทะเลาะเบาะแว้งที่สุดแสนจะยืดยาว อย่างไรก็ตาม ด้วยเนื้อหาที่ซับซ้อนชวนงงและการเน้นบอกเล่าเรื่องราวผ่านบทสนทนามากกว่าฉากแอ็คชั่น ดังนั้นหากใครที่ไม่ได้ติดตามซีรีส์นี้มาตั้งแต่ต้นจึงมีสิทธิ์สูงที่จะโดนเททิ้งไว้กลางทางหมดความอดทนจนอยากปิดเลิกดูกลางคันเอาได้ง่ายๆ หนำซ้ำแอนิเมชั่นที่นำเสนอก็ไม่ได้สมูธลื่นไหลอย่างที่คิดเพราะหยิบยืมเอาภาพกราฟิกตอนเล่นนั่นแหละมาใช้ ซึ่งมันดูดีเฉพาะตอนที่โคลสอัพใบหน้าตัวละครใกล้ๆนิ่งๆเท่านั้น พอขยับซูมออกมาในฉากเคลื่อนที่ไวๆ เดินทางขับรถ หรือขี่มอเตอร์ไซค์ จะสังเกตเห็นอาการสะดุดได้อย่างชัดเจน กอปรกับสภาพตึกอาคารอิฐบล็อกก้อนๆ ต้นไม้ริมทางที่แข็งเป็นหินไม่ค่อยใส่ใจรายละเอียดนัก รวมถึงหน้าจอที่บีบแคบเลียนแบบหนังฮอลลีวูด และต้องรอโหลดทุกครั้งที่เปลี่ยนฉากใหม่ด้วยแล้ว มันเลยเป็นประสบการณ์รับชมที่ค่อนไปทางเฟลแอบผิดหวังอยู่หน่อยๆ ใจจริงถ้าทำได้เราเองก็อยากให้พวกเขาลงทุนสร้างเป็นการ์ตูนอนิเมะภาพเต็มจอไปเลยจะดีกว่า เพราะต่อให้ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยอย่างน้อยมันก็ดึงดูดคนให้สนใจทนดูได้มากกว่านี้
ในเรื่องของการปรับแต่ง ตัวเกมค่อนข้างเปิดกว้างให้ผู้เล่นกำหนดหน้าที่ปุ่มต่างๆบนคอนโทรลเลอร์ได้อย่างอิสระตามความถนัด ซึ่งเรามองว่ามันมีประโยชน์มากโดยเฉพาะการใช้งานคำสั่งแคนเซิลหรือแดช ที่คุณสามารถแม็พมันลงไปบนปุ่มไกปืน L2 หรือ R2 ที่ดั้งเดิมถูกปล่อยว่างไว้ได้ นับเป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวกในการเล่นของเราเอามากๆ แต่ก็อย่างที่ทุกคนรู้กันดี หากใครคิดจะเล่นเกมนี้ลงแข่งขันแบบจริงจังก็ควรมองหาจอยไฟท์แพดหรือแท่นไฟท์สติ๊กมาใช้ และเก็บจอย DualSense ไว้เล่นเกมแนวอื่นจะดีกว่า เพราะว่าปุ่มกดทิศทางดีแพดของมันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับเกมแนวไฟท์ติ้ง ท่าง่ายๆอย่างลงหน้าอาจจะยังพอกดติดได้ แต่ถ้าเป็นท่าไม้ตายประเภทควงครึ่งวงกลมที่มีให้เห็นแทบทุกตัวละครนั้น มันจะประสบปัญหากดติดยากชวนหัวเสียเปล่าๆ ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็มีค่ายเทิร์ดปาร์ตี้หลากหลายเจ้าที่ผลิตอุปกรณ์เสริมเหล่านี้ออกมาขายสำหรับเครื่องเล่นคอนโซล PS5 ส่วนใครที่ไม่อยากเสียตังค์ซื้ออุปกรณ์ใหม่ก็อาจจะต้องสลับเปลี่ยนไปเล่นตัวเกมเวอร์ชัน PS4 แทน ที่ยังคงรองรับอุปกรณ์เสริมรุ่นเก่าๆอยู่ (คิดตัดสินใจให้ดีๆละกัน)
ทางด้านนักสู้ทั้งหมด 15 ตัวละคร ทุกตัวทุกแบบสีจะถูกปลดล็อคออกมาให้เลือกใช้งานพร้อมสรรพตั้งแต่เริ่มต้นเกม คุณไม่จำเป็นต้องเล่นเคลียร์ผ่านเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น โดยในนั้นจะมีสองตัวละครหน้าใหม่ที่เพิ่งปรากฏกายให้เห็นเป็นครั้งแรก หนึ่งคือ Nagoriyuki แวมไพร์ซามูไรผิวสีผู้ใช้ดาบคาตานะเล่มโตอาบเลือดของศัตรูมาเพิ่มพลังโจมตีให้ตัวเอง ด้วยอาวุธที่ยาวเขาจึงมีระยะตีที่ค่อนข้างไกล และถึงแม้จะตัวใหญ่แต่เขาก็มีเคล็ดวิชาลับสามารถเข้าประชิดศัตรูได้ในพริบตา ส่วนตัวละครที่สอง Giovanna เธอคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่พิเศษสาวชาวบราซิลผู้คอยอารักขาคุ้มกันประธานาธิบดี โดยสไตล์การต่อสู้ของเธอจะเน้นใช้เท้าหมุนเตะตวัดอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมีเทพหมาป่าคอยปกป้องคุ้มครองตลอดเวลา ซึ่งจำนวนตัวละคร 15 ตัวสำหรับเกมนี้ถือว่าไม่น้อยนะ เพราะแต่ละตัวล้วนมีสไตล์ที่แตกต่างกันมากราวกับอาศัยอยู่กันคนละโลก (บางตัวถึงขั้นมีเกจพิเศษเฉพาะของตัวเองด้วยนะ) ตัวละครฝาแฝดที่มีสกิลท่วงท่าซ้ำๆกันประเภทเพื่อนรักร่วมสำนัก ศิษย์ล้างครู หรือปู่ฆ่าหลานจะไม่มีให้เห็นอย่างแน่นอน แถมทางบันไดนัมโค ยังเตรียมแผนปล่อยตัวละคร DLC ออกมาขายสมทบเพิ่มเติมอีกในอนาคต
นอกเหนือจากโหมดฝึกสอนที่เข้มข้นแล้ว อีกสิ่งที่เราสังเกตเห็นได้ชัดถึงความเอาใจใส่ผู้เล่นหน้าใหม่ นั่นคือการที่ตัวเกมพยายามปรับจูนเข้าหาคนเล่น แทนที่ปกติแล้วเราต้องเป็นฝ่ายปรับจูนเข้าหาเกม เราขอยกตัวอย่างโหมดการเล่นหลักอย่าง Arcade ที่หากคุณเก่งโชว์เหนือชนะรวดไม่มีแพ้เลยสักตา เส้นทางข้างหน้าสเตจถัดไปก็จะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆจนถึงขั้นระดับโหด Extreme แต่กลับกันถ้าคุณมีสะดุดแพ้บ้างชนะบ้างความยากในด่านต่อไปก็จะคงไว้ที่ระดับ Normal หรือหากคุณโดนคอมฯตบแพ้ยับเยินรอบหน้าคุณอาจได้เห็น AI เพื่อนสนิทของตัวละครนั้นๆลงมาช่วยคุณยำศัตรูแบบ 2 รุม 1 ทุกอย่างเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นได้แบบไดนามิคแปรผันไปตามทักษะการเล่นของคุณเอง ดังนั้นประสบการณ์ที่แต่ละคนจะได้รับจากเกมนี้จึงแตกต่างออกไปไม่เหมือนกัน นับเป็นอะไรที่เจ๋งเอามากๆ
ขณะเดียวกัน โหมดออนไลน์ Multiplayer เองก็ปรับตัวเข้าหาผู้เล่นเช่นเดียวกัน ด้วยการพยายามจับคู่ผู้เล่นที่มีทักษะใกล้เคียงให้มาเจอกันผ่าน ระบบหอคอย ที่แบ่งอันดับชั้น 1 ถึง 10 ตามความสามารถของแต่ละคน โดยตัวเกมจะจัดอันดับชั้นที่เหมาะสมให้อัตโนมัติจากผลงานในสังเวียนของเรา เก่งอยู่สูง อ่อนอยู่ล่าง ซึ่งเราไม่อาจลงไปแข่งในระดับชั้นที่ต่ำกว่า แต่จะสามารถลงแข่งขันในชั้นที่สูงกว่าได้ทั้งหมดเพื่อพัฒนาฝีมือ เมื่อเลือกชั้นได้แล้วระบบก็จะนำคุณเข้าสู่ ห้องลอบบี้อาร์เขต สไตล์ภาพพิกเซลที่ให้เราบังคับตัวละครอวตาร์เดินดูปฏิสัมพันธ์กับผู้เล่นที่อยู่ในนั้น บางรายอาจกำลังยุ่งอยู่ต่อสู้กับอีกคน บางรายอาจกำลังฝึกซ้อมกับ AI ขณะที่บางรายอาจกำลังว่างยืนรอให้ใครสักคนมาสู้ด้วย ถ้าเราเห็นก็สามารถกด Challenge ท้าประลองกับเขาได้ทันที และไม่ต้องกลัวว่าคนที่เราสู้ด้วยเขาจะนิสัยเสียไม่มีสปิริต เพราะบนหัวของตัวละครจะปรากฏรูปไอคอนกำกับบ่งบอกให้รู้ใครกำลังฟอร์มดี คนไหนที่ชอบกดออกหนีบ่อยๆ หากรู้สึกว่าห้องเงียบเหงาเกินไปไร้เงาผู้คนเราก็สามารถกดปุ่มเปลี่ยนลำดับชั้นหรือย้ายเซิร์ฟเวอร์ได้โดยง่าย (สิงคโปร์ เกาหลี ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกาได้หมด) ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับนิ้วคุณเป็นคนจิ้มเลือกเอง เรามองว่านี่คือนวัตกรรมเพราะในเกมไฟท์ติ้งอื่นๆคุณแทบจะไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรเลย
"Guilty Gear Strive พูดได้ว่านี่คือภาคที่ดีที่สุดของซีรีส์ ด้วยความพยายามปรับจูนเข้าหาผู้เล่นกับระบบที่ทีมงานวางมาไว้อย่างดีรอบคอบ และมันคงจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปกว่านี้หากว่ามีผู้คนหันมาสนใจเล่นเกมนี้กันเป็นจำนวนมากหลากหลายกลุ่ม เพราะเท่าที่เราสังเกตเห็นก็มีเพียงแค่กลุ่มคนหน้าเดิมๆที่เป็นแฟนคลับซีรีส์นี้อยู่แล้ว แต่ละคนล้วนฝีมือเก่งฉกาจเข้าขั้นเซียนกันหมด จึงอาจส่งผลให้ตัวระบบแบ่งลำดับชั้นหอคอยทำหน้าที่ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะสุดท้ายแล้วเราก็ต้องทนจำใจบากหน้าไปให้เซียนเหล่านั้นตบเนื่องจากไม่มีผู้เล่นหน้าใหม่ๆโผล่มาให้ท้าประลอง แต่จะด่วนสรุปว่าเกมนี้ไม่มีมือใหม่เล่นก็อาจฟังดูเร็วเกินไปในเมื่อเกมมันเพิ่งออกวางจำหน่ายคงต้องให้เวลาพิสูจน์กันสักหน่อย อย่างไรก็ดีสิ่งหนึ่งที่เรารู้ชัดกล้าฟันธงได้คือ นี่เป็นเกมต่อสู้ PS5 ที่ดีที่สุดในท้องตลาด ณ เวลานี้ และมันเหมาะสมคู่ควรกับตำแหน่งราชาเกมไฟท์ติ้งอย่างไม่ต้องสงสัย (อย่างน้อยๆก็ก่อนที่ สตรีทไฟท์เตอร์ 6 จะมาละนะ)"
เกมการเล่น | 9 |
กราฟิก | 10 |
เสียง | 9 |
การเล่าเรื่อง | 7 |
ความคิดสร้างสรรค์ | 9 |
ภาพรวม | 8.8 |
ข้อดี: ระบบเกมเน้นเดินบุกแลกเข้าใส่กันที่ดูสนุก, สอนเทคนิคเคล็ดลับละเอียดยิบทุกขั้นตอน, ดนตรีประกอบสุดมันโดนใจขาร็อค, กำหนดตั้งค่าหน้าที่แต่ละปุ่มได้อิสระ, ประสบการณ์ความท้าทายที่พยายามปรับจูนเข้าหาผู้เล่น, คู่ต่อสู้ออนไลน์ที่เราเป็นคนจิ้มเลือกลิขิตได้เอง และเป็นเกมไฟท์ติ้ง 2D ภาพสวยที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นมาในชีวิต
ข้อเสีย: โหมดสตอรี่บอกเล่านำเสนอยังไม่น่าประทับใจนัก, ไม่มีสิ่งใดให้ปลดล็อคนอกจากเครื่องประดับอวตาร์, หาคนฝีมือระดับเดียวกันในโหมดออนไลน์ค่อนข้างยาก และหากอยากได้อะไรใหม่ๆต้องซื้อผ่าน DLC เท่านั้น
สนับสนุนบทความรีวิวโดยบริษัท Bandai Namco Entertainment
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*