xs
xsm
sm
md
lg

Review: Assassin's Creed Valhalla: Wrath of the Druids ผ่าแค้นแดนเร้นลับ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แนว อาร์พีจีโอเพ่นเวิลด์
ระบบ PS4, PS5, Xbox One, Xbox Series, PC
เรตเกม PEGI: 18 เหมาะสำหรับผู้เล่นที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

เนื้อหาเสริม DLC สอดแทรกตัวแรกของเกมมือสังหารภาคล่าสุด ที่นำพานักรบไวกิ้งผู้กล้าของเราออกผจญภัยไปยังดินแดนทิศตะวันตกทิวทัศน์สวยงาม แต่แอบซ่อนความป่าเถื่อนเหนือธรรมชาติ


สำหรับเรื่องราวของเนื้อหาเสริม Wrath of the Druids นี้จะเริ่มขึ้นในช่วงต้นเกม ในช่วงเวลาเดียวกับที่ "เอวอร์" (Eivor)ตัวละครเอกของเราตัดสินใจย้ายถิ่นฐานเพิ่งเดินทางมาถึงเกาะอังกฤษหมาดๆ ซึ่งขณะที่งานยึดครองไล่กินดินแดนใหม่ยังไม่ได้คืบหน้าไปไหน ก็มีอีกหนึ่งปัญหาใหม่มาคอยรบกวนจิตใจ เมื่อ Barad ลูกพี่ลูกน้องชนเผ่าไวกิ้งของเราที่ปัจจุบันเป็นราชาปกครองเมืองดับลิน ได้ส่งสาส์นร้องขอความช่วยเหลือมาถึงเราว่าพวกเขากำลังประสบปัญหาในการควบรวมแผ่นดิน "ไอร์แลนด์" ที่อยู่ไกลออกไปทางทิศตะวันตก ด้วยความเป็นญาติสนิทมิตรสหายเราจึงต้องละทิ้งหยุดพักงานที่ทำค้างคาเอาไว้ก่อน เพื่อยื่นมือเข้าไปช่วยสานฝันของพวกเขาให้กลายเป็นจริง ทั้งที่ไม่รู้ว่านี่เป็นงานช้างเพราะพื้นที่ดินแดนแห่งนี้มันมีความลับปริศนาดำมืดแอบแฝงดักรอคอยอยู่


การผจญภัยครั้งใหม่บนเกาะไอร์แลนด์นั้น ดูไปมันก็คล้ายๆกับ ไซด์เควสต์เวอร์ชันยืดยาว ที่บังเอิญผุดขึ้นมาระหว่างทาง โดยเราจะเลือกเล่นมันตอนไหนก็ได้ในช่วงเนื้อเรื่องแคมเปญหลัก จะเก็บไว้เล่นทีหลังตอนจบเกมแล้วหรือว่าจะรีบชิงเล่นมันก่อนเลยก็ย่อมได้ ขอเพียงแค่คุณเล่นผ่านบทเกริ่นนำช่วงแรกของเกมและผูกมิตรเข้าร่วมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบนเกาะอังกฤษให้ได้เสียก่อนเพื่อเปิดน่านน้ำเส้นทางเรือไปยังไอร์แลนด์ โดยเควสต์นี้จะกำหนดเลเวลค่าพลัง Power แนะนำขั้นต่ำของตัวละครเอาไว้ที่ระดับ 55 ซึ่งผู้เล่นหน้าใหม่อาจต้องเสียเวลาฟาร์มกันเล็กน้อยถึงจะเล่นสนุกไม่สะดุดติดขัดในเรื่องราวเสริมนี้ แต่ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นเคร่งเครียดต้องฟาร์มพลังตัวละครให้ได้ 55 พอดีเป๊ะหรอกนะ เพราะถึงเลเวลคุณจะด้อยต่ำกว่าลงมาสัก 5 หรือ 10 เลเวล คุณก็ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์ครั้งนี้ได้


ทันทีที่เราก้าวเท้าเข้าเหยียบแผ่นดินใหม่ สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือเรื่องของบรรยากาศฉากหลังสภาพแวดล้อม ที่ดูต่างออกไปจากที่เคยพบเจอบนเกาะอังกฤษ ทั้งปราสาทเก่าแก่ โบราณสถานที่มีสไตล์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ต้นไม้ที่เลื้อยพันกันเป็นอุโมงค์ชวนขนลุก ไปจนถึงแนวหินริมผาสูงชันเหนือมหาสมุทรแอตแลนติก ยิ่งหากใครเป็นเจ้าของเครื่อง PS5 ด้วยแล้ว ภาพกราฟิกมันจะยิ่งดูสวยงามปลื้มปริ่มเอามากๆ โดยบรรยากาศท้องฟ้าในเกมจะดูหม่นหมองอึมครึมดาร์คกว่าที่เราเคยเห็นในเนื้อหาหลัก เพื่อให้สอดคล้องรับกับตีมเรื่องราวของเราที่ต้องเข้าปะทะต่อกรกับลัทธิ Children of Danu กลุ่มศัตรูสวมเขาแต่งตัวเลียนแบบอสูรสัตว์ป่า ผู้ถนัดใช้แก๊สลวงตาหลอนประสาทเป็นอาวุธ ชวนหลอกให้เรารู้สึกว่ากำลังต่อสู้กับพวกพ่อมดมนต์ดำที่มีอิทธิฤทธิ์เวทมนตร์


ตลอดเนื้อหา DLC ดังกล่าว คุณจะได้พบกับความท้าทายใหม่ ศัตรูหน้าใหม่ สัตว์ร้ายสายพันธุ์ใหม่ สกิลใหม่ ไปจนถึงอาวุธชุดเกราะเซตใหม่ แต่ท่ามกลางสิ่งใหม่ๆเหล่านี้ถึงอย่างนั้นด้วยระบบการต่อสู้ที่ยังคงเดิม มันสมอง AI ที่ยังยืนบื้อคิดอะไรไม่เป็น และรูปแบบการเล่นที่วนเวียนอยู่กับแค่การพูดคุยหาเบาะแส ขโมยของ เชือดสังหาร และบุกตีป้อม ที่ในเรื่องราวแคมเปญหลักมันก็ยัดมาเยอะแน่นเอี้ยดจวนจะเป็นลมแทบสำรอกออกมาอยู่แล้ว สิ่งแปลกใหม่ทั้งหมดทั้งมวลที่ถูกโบ๊ะโปะทับเพิ่มเข้ามา มันจึงไม่ได้ช่วยให้ผู้เล่นรู้สึกรีเฟรชสดชื่นอะไรสักนิดเลย






"จากจำนวนเวลา 15 ชั่วโมงใน Wrath of the Druids ถือเป็นประสบการณ์ที่เติมเต็มได้ดีสำหรับใครที่ชื่นชอบในระบบการเล่นของ Assassin's Creed Valhalla เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะมีการผูกโยงสตอรี่ การเมือง ความขัดแย้ง และประวัติศาสตร์ของประเทศไอร์แลนด์ ได้อย่างกลมกล่อมลงตัวเสมือนเป็นการต่อลมหายใจให้กับเกมที่เขารัก แต่สำหรับหลายคนที่ไม่ชอบรู้สึกอึดอัดขัดใจกับตัวเกมภาควัลฮัลลา (รวมถึงผู้รีวิวด้วย) ต่อให้ยูบิซอฟต์จะปล่อยเนื้อหา DLC ใดๆออกมาอีกถัดจากนี้ มันก็เป็นเพียงแค่การยืดเวลาจบเกมที่แสนทรมานให้นานขึ้นเท่านั้นเอง"

เกมการเล่น6
กราฟิก8
เรื่องราว8
ความคิดสร้างสรรค์6
ภาพรวม7

สนับสนุนบทความรีวิวโดยบริษัท ยูบิซอฟต์




*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*


กำลังโหลดความคิดเห็น