แนว ภาพยนตร์อินเตอร์แอคทีฟ
ระบบ PS4 (สามารถใช้มือถือ-แทบเล็ตบังคับแทนจอยได้)
เรตเกม PEGI: 16 เหมาะสำหรับผู้เล่นที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป
เกมผจญภัยจิ้มเลือกคำตอบของสาวน้อยขอบตาช้ำ "เอริก้า เมสัน" ที่ล้วนใช้คนแสดงจริงทั้งเรื่องแบบไม่พึ่งพา CG ถือเป็นมิติใหม่แห่งวงการเกม แต่กลับพังล้มไม่เป็นท่าในฐานะภาพยนตร์
สำหรับ Erica นั้นเป็นผลงานการสร้างสรรค์ของสตูดิโอ Flavourworks ที่ถูกทำมาในลักษณะของเกมแนว Cinematic Adventure มีวิธีการเล่นคล้ายๆกับเกมดังรุ่นพี่อย่าง Heavy Rain, Until Dawn หรือ Detroit: Become Human ที่ผู้เล่นมีหน้าที่ตัดสินใจเลือกคำตอบ มอบเส้นทาง กำหนดชะตากรรมให้กับตัวละครได้ตามใจปรารถนา โดยเรื่องราวผลลัพธ์จะแปรเปลี่ยนไปตามการตัดสินใจนั้นๆ และนำพาไปสู่บทสรุปที่แตกต่างกันไป ซึ่งเกมนี้ก็ดำเนินตามรอยสูตรสำเร็จเหล่านั้น เพียงแต่เลือกนำเสนอถ่ายทอดมันออกมาในรูปแบบภาพยนตร์ Live-action คนแสดงจริง
เนื้อหาเกมว่าด้วยเรื่องราวของ "เอริก้า เมสัน" (Erica Mason) สาวน้อยเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ผู้สูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเล็ก แถมบิดาของเธอก็เพิ่งมาเสียชีวิตตามกันไปติดๆด้วยฝีมือ ฆาตกรปริศนา ที่เธอจดจำรูปเงาเค้าร่างได้เพียงลางตา และเป็นภาพติดตาหลอกหลอนเธอเรื่อยมา จวบจนกระทั่งถึงปัจจุบันที่ดูเหมือนว่าสิ่งเลวร้ายต่างๆในอดีตกำลังจะหวนกลับมาเล่นงานเธออีกครั้ง จึงเป็นเหตุให้นักสืบหนุ่มอย่าง Duncan Blake ต้องอาสาตัวเข้าช่วยคลี่คลายคดีหาตัวคนร้ายที่ยังคงลอยนวล ด้วยการพา เอริก้า กลับไปยัง Delphi House สถานพยาบาลที่เธอเคยอยู่ในช่วงสมัยวัยเด็ก เพื่อให้หมอที่นั่นฟื้นความทรงจำให้ แต่สิ่งที่เธอได้ค้นพบกลับเป็นความลับดำมืดที่น่าสะพรึงเสียยิ่งกว่า
Erica จัดได้ว่าเป็นเกมล่าสุดของ โซนี่ ที่ทำมาซัพพอร์ตฟีเจอร์ Sony PlayLink ที่ให้ผู้เล่นสามารถดาวน์โหลดแอพฯฟรี Erica Companion จาก App Store หรือ Google Play แล้วติดตั้งมันลงไปบนมือถือ-แทบเล็ต เพื่อใช้หน้าจอสัมผัสทัชสกรีนของตัวอุปกรณ์ในการเล่นปฏิสัมพันธ์กับเกมแทนคอนโทรลเลอร์ปกติ ทั้งลากขีดเขียน แกะกล่องเปิดของ จิ้มสำรวจ และเลือกคำตอบ ซึ่งนี่ถือเป็นวิธีการเล่นเกมนี้ที่ถูกต้องเหมาะสม และทางเราอยากแนะนำ เนื่องจากการใช้แผง ทัชแพด ตรงกลางจอย DUALSHOCK 4 ที่มีขอบเขตหน้าผิวสัมผัสขนาดเล็กและค่อนข้างจำกัดนั้น อาจสร้างปัญหาขลุกขลักเล็กน้อย ยามที่ตัวเกมบีบให้เราต้องออกแอ็คชั่นลากนิ้วต่อเนื่องยาวๆ นั่นเอง
แม้ตัวเกมจะพยายามสื่อโฆษณาว่า มันเป็นแนว "ระทึกขวัญ" (Thriller) แต่เอาเข้าจริงตลอดเวลาที่นั่งดู มันกลับไม่สร้างความรู้สึกอึดอัดบีบคั้นอารมณ์เราเท่าไหร่นัก หนักไปทางชิลๆสบายๆซะมากกว่า อาจด้วยชีวิตเราผ่านหนังมาเยอะ หรืออาจเป็นเพราะฝีมือที่ยังไม่ถึงขั้นของ "Jack Attridge" ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ผู้มีส่วนร่วมในตัวบทหนัง และนั่งแท่นกำกับเอง ที่พยายามเน้นพาร์ทการตามล่าหาความจริงของตัวละครเอก มากเสียจนลืมนึกถึงความต้องการของผู้ชม ที่ยอมอดทนเสียเวลามานั่งดูหนังสืบสวนโทนอารมณ์มิติเดียวดั่งเส้นกราฟแบนราบ ไม่มีฉากแอ็คชั่น ไร้เรื่องราวรักๆใคร่ๆ ขาดมุกตลก หรือสีสันอื่นใดให้ใจจดจ่ออยู่กับมัน อีกทั้งปริศนาความลับก็รีบบอกใบ้ตั้งแต่ไก่โห่ แล้วดันมาเฉลยเปิดเผยหน้าตาตัวละครคีย์หลักสำคัญในช่วงกลางเรื่อง จนผู้ชมสามารถปะติดปะต่อเดาทางได้หมดทั้งที่ยังเหลือเนื้อหาอีกตั้งครึ่ง ทำให้ช่วงเวลาที่เหลือกลายเป็นเพียงการนั่งเล่นมันไปให้จบๆเท่านั้น ส่วนที่เป็นจุดพีคไคลแมกซ์ในช่วงท้าย ก็ไม่ได้ถูกขยี้ขยายความชวนให้รู้สึกว้าวสมการรอคอยกับสิ่งที่ตัวเกมพยายามปูบิ๊วมาเนิ่นนาน ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกเหมือนหนังทุนต่ำเกรดบี ดีไม่ดีอาจร่วงหล่นไปอยู่ในระดับเดียวกับละครซีรีส์โทรทัศน์ มันแย่ขนาดนั้นเลยละ
พูดถึงการแสดง แม้ว่าดาราที่ถูกเชื้อเชิญมาจะไม่ใช่ระดับแม่เหล็กแถวหน้าแห่งวงการฮอลลีวูด แต่ก็ต้องชื่นชมความสามารถในการแอคติ้งถ่ายทอดอารมณ์อันยอดเยี่ยมของพวกเขา โดยเฉพาะเหล่าตัวละครหลักอย่าง นายแพทย์ผิวสีเพื่อนสนิทของพ่อ Lucien Flowers (แสดงโดย "Terence Maynard") ผู้มาพร้อมมาดสุขุมนุ่มลึกคำพูดคำจาฟังดูน่าเชื่อถือชวนคล้อยตามยิ่งนัก หรือว่าจะเป็นนายตำรวจหนุ่มนักสืบ Sgt. Duncan Blake (แสดงโดย "Duncan Casey") ที่คอยให้คำชี้แนะช่วยเหลือเราไม่เคยห่าง ใครอยู่ใกล้ก็รู้สึกปลอดภัยน่าไว้วางใจ และอีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่ขาดเสียไม่ได้ นั่นคือ นางเอกสาวดาวเด่นของเรื่อง Erica Mason (แสดงโดย "Holly Earl") ที่แย่งซีนเด่นเกินกว่าใครด้วยสีหน้าแววตาที่สื่อออกมาชัดเจน มีน้ำคลอเบ้าตาหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา เหมือนเธอเกิดมาเพื่อบทเด็กหญิงอมทุกข์ผู้นี้ ในขณะที่จังหวะตกใจ ดวงตาเธอก็พร้อมเบิ่งถลนกลมโตไม่แพ้ไซบอร์กสาวจ้าวนักสู้ "อลิตา" ซึ่งกล้าพูดได้เต็มปากว่า กลุ่มนักแสดงหลักเหล่านี้ ล้วนเป็นตัวช่วยแบกพยุงเรื่องไม่ให้ตกต่ำลงไปมากกว่านี้
ด้วยคอนเซปต์ของเกม ที่เปรียบเสมือนรับชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เนื้อหาของมันจึงไม่ยืดยาวเหมือนเกมใดๆที่เราเคยสัมผัส เต็มที่คงไม่เกิน 2 ชั่วโมง บวกกับเวลาเล่นวนซ้ำสองสามรอบเพื่อเก็บฉากแยกย่อยทั้งหมด ดูไปก็สมเหตุสมผลกับราคาขายของเกมที่ตั้งไว้ที่ 10 เหรียญ (ประมาณ 300 บาท) ซึ่งพอๆกับการซื้อหนังแผ่น DVD มาดูที่บ้าน หรือจ่ายตั๋วเพื่อดูหนังในโรงภาพยนตร์ดีๆสักเรื่อง พูดตามตรงมันก็ฟังดูคุ้มค่านะ หากว่ามันเป็นหนังเด่นบทดีอย่าง Don't Breathe หรือว่า Get Out แต่สำหรับ Erica แล้ว ที่ทั้งโนเนมนอกกระแส แถมดูแล้วไม่รู้สึกประทับตราตรึงใจน่าจดจำบันทึกใส่สมองสักเท่าไหร่ ต่อให้ฉายฟรีเราเองก็ยังแอบหวั่นใจลึกๆว่าจะมีคนยอมสละเวลามาดูสักกี่คน
จากการนำเสนอเรื่องราวสืบสวนแบบกำปั้นทุบดิน ทื่อเกินกว่าที่ควรจะเป็น และผลาญสองชั่วโมงไปแบบไร้พลังวังชา Erica จึงไม่ต่างอะไรกับหนังดาษๆที่ปกติเรามักเดินผ่านเวลาเดินห้าง ซึ่งหากเหล่าทีมงานยังอยากมุ่งหวังเดินในเส้นทางสายนี้ต่อ คราวหน้าพวกเขาอาจต้องพิจารณาลงทุนจ้างวานนักเขียนบทดีๆ คว้าตัวผู้กำกับมือทอง หรือถ้าเงินถึงก็ควรดึงดาราซูเปอร์สตาร์มาชูโรงสักคนสองคน คงช่วยให้กระแสตอบรับดีขึ้น ไม่แน่นิ่งสนิทเหมือนเกมนี้
| การเล่าเรื่อง | 6 |
| ภาพ-เสียง | 8 |
| การแสดง | 8 |
| ลูกเล่นปฏิสัมพันธ์ | 7 |
| ความคุ้มค่า | 6 |
| ภาพรวม | 6.8 |
ข้อดี : ไอเดียผสมหนังเข้ากับเกมที่แปลกใหม่น่าสนใจ, ฉากสวยเลือกมุมกล้องได้เยี่ยม, เหล่านักแสดงหลักเล่นดีเกินค่าตัว และราคาถูกมากพอๆกับตั๋วหนังเรื่องหนึ่ง
ข้อเสีย : การเล่าที่ไม่ค่อยมีเทคนิคชั้นเชิง, เคมีความผูกพันระหว่างตัวละครมีน้อยมาก, ลูกเล่นปฏิสัมพันธ์แค่ลากขึ้นบนซ้ายขวาบางทีก็น่าเบื่อ, โทนหนังอารมณ์เดียวตลอดทั้งเรื่อง, บทยังมีช่องโหว่พล็อตโฮลอยู่บ้าง และฉากจบที่ไร้พลังเล่นรอบเดียวก็เกินพอ
Shin
สนับสนุนบทความรีวิวโดยบริษัท โซนี่ อินเตอร์แอคทีฟ เอนเตอร์เทนเมนต์ ฮ่องกง สาขาสิงคโปร์ (หรือ SIES) และบริษัท Next Generation InnovationNGIN
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*
