แนว แอ็คชั่นต่อสู้
ระบบ PS4
เรตเกม PEGI 12: เหมาะสำหรับผู้เล่นที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป
สังเวียนการต่อสู้ของพลพรรคนักรบผู้กล้า และเหล่าศัตรูคู่อาฆาต ได้ปะทุเปิดฉากขึ้นอีกครั้งในผลงานเกมแอ็คชั่นรวมดาราไฟนอลฯภาคใหม่บนเครื่อง PS4 ที่มีการปรับเปลี่ยนผันแปรไปทั้งในทางที่ดีขึ้น และในแง่ที่แย่ลง
หากพูดชื่อเกม "Dissidia Final Fantasy NT" ขึ้นมา อาจยังมีบางคนเข้าใจผิดอยู่คิดว่าทางสแควร์เอนิกส์ ได้หยิบนำเอาแฟรนไชส์เกมต่อสู้เก่าแก่สมัยเครื่อง PSP มารีเมคทำใหม่ แต่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้น เพราะหากลองมองเจาะลึกลงไปจริงๆแล้ว ตัวเกมภาคใหม่บน PS4 นี้ มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่แปรเปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบการเล่นที่หันมาต่อสู้กันเป็นทีม รวมถึงเนื้อเรื่องเหตุการณ์เอง ก็ไม่ได้มีความผูกดองข้องเกี่ยวกับสงครามระหว่างเทพ Cosmos และ Chaos อีกต่อไป แต่หันมาบอกเล่าช่วงเวลาหลายปีต่อจากนั้น ในศึกของสองเทพองค์ใหม่ ผู้มีนามว่า Materia และ Spiritus ที่ต่างฝ่ายต่างอัญเชิญเหล่านักรบจากจักรวาลไฟนอลแฟนตาซี มาเปิดศึกประชันกัน เหมือนเช่นเคย
แม้ในสองภาคก่อนหน้านี้บนแพลตฟอร์ม PSP เราจะได้บังคับตัวละครไฟนอลฯที่ชื่นชอบ มาดวลสู้กันแบบตัวต่อตัว วัดให้รู้ดำรู้แดงไปเลยว่าใครเหนือกว่าใคร ทว่าในผลงานเกมใหม่ล่าสุดที่ Team Ninja เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบนี้ พวกเขากลับเลือกที่จะเปลี่ยนใหม่ หันมานำเสนอการต่อสู้ในรูปแบบทีม 3 ต่อ 3 ที่เน้นอาศัย "ทีมเวิร์ค" ร่วมมือประสานงานระหว่างผู้เล่นเป็นสำคัญ ลำพังหวังพึ่งแค่สกิลส่วนตัวนั้น ไม่อาจสามารถเอาชนะในการศึกได้ และในเมื่อจำนวนผู้เล่นถูกเพิ่มจำนวนขึ้นจากเดิมสู้กันแค่ 2 คนในสังเวียน มาเป็นศึกตะลุมบอนพร้อมกัน 6 คนในคราวเดียว กฏกติกาย่อมมีการแปรผันเปลี่ยนไปตาม โดยในโหมดต่อสู้พื้นฐาน Standard หากฝ่ายไหนกำจัดลดเลือดศัตรูเป็นศูนย์ได้ถึง 3 ครั้งก่อน ก็เป็นฝ่ายชนะไป ในขณะที่อีกหนึ่งโหมดอย่าง Core Battle นั้น ก็ยังคงคอนเซปต์ผู้เล่นจำนวนครึ่งโหลเช่นเดียวกัน เพียงแค่เปลี่ยนเป้าหมายจากไล่ฆ่าฟัน มาเป็นทำลายแท่งแก้วคริสตัลฝ่ายตรงข้าม ซึ่งพอเอาเข้าจริงๆแล้วโหมดนี้ ไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าไหร่ คงเป็นเพราะด้วยระบบล็อคเป้าอันไม่แน่ไม่นอนของเกม ที่ทำให้การเปลี่ยนสลับเป้าหมายไปมา ระหว่างศัตรูทั้งสาม กับแท่งแก้วคริสตัล เป็นอะไรที่ปวดกบาลพอสมควร
ทางด้านระบบการต่อสู้นั้น ตัวเกมยังคงยึดตามต้นฉบับ PSP ที่แบ่งการโจมตีออกเป็นสองประเภท คือ Bravery Attack กับ HP Attack ซึ่งในช่วงเริ่มต้นสตาร์ทแมตช์ ผู้เล่นทั้งสองฝั่งจะยังไม่สามารถโจมตีเพื่อหมายปลิดชีพอีกฝ่ายได้ จนกว่าค่าเบรฟเวอรี่ของเราจะสูงเกินกว่าค่าพลัง HP ของศัตรู ซึ่งค่าเบรฟเวอรี่ ที่แสดงเป็นตัวเลขสีขาวด้านล่างจอนี้ สามารถแปรเปลี่ยนเพิ่มขึ้น หรือลดลงได้ตลอดเวลาตามผลงานการต่อสู้ของเรา อีกทั้งยังปรากฏโชว์หราอยู่เหนือศีรษะของตัวละคร เพื่อเป็นการประกาศศักดาบ่งบอกให้ทุกคนได้ทราบถึงระดับความเก่งกาจของคนๆนั้น หรือผู้เล่นฝ่ายไหนกำลังได้เปรียบอยู่ ซึ่งระบบนี้นับเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสรอดให้เหล่าผู้เล่นมือใหม่ เพราะในสมรภูมิหากใครมีค่าเบรฟเวอรี่เยอะ ก็จะสุ่มเสี่ยงตกเป็นเป้าหมายของฝ่ายตรงข้าม แตกต่างจากตัวละครค่าเบรฟเวอรี่ต่ำ ที่ดึงดูดความสนใจจากศัตรูได้น้อยกว่า นั่นเอง
ฝั่ง กองทัพนักสู้ไฟนอลแฟนตาซี ที่สามารถเลือกเล่นได้ในเกมนี้ ทางทีมงานได้ขนมาทั้งฮีโร่ตัวละครเอก และเหล่าวายร้ายจากเกมไฟนอลฯตั้งแต่ภาคแรกยันภาคล่าสุด รวมไปถึงภาคแยก และภาคออนไลน์ รวบรวมเอาไว้อย่างมากมายคับคั่งถึง 28 ตัวละคร โดยตัวละครที่ถูกเพิ่มพิเศษเข้ามาใหม่ในเวอร์ชัน PS4 นี้ ก็จะมี Y'shtola (จาก FFXIV), Noctis (จาก FFXV), Ramza (จาก FF Tactics) รวมถึง Ace (จาก FF Type-0) และด้วยความที่ สแควร์เอนิกส์ เป็นค่ายที่นิยมชมชอบการขาย DLC ทางเราก็แอบหวังลึกๆว่า ลิสต์รายชื่อตัวละครคงยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้
ตัวละครทั้ง 28 ที่ถูกปลดล็อคมาให้ใช้กันตั้งแต่เริ่มนี้ แต่ละตัวจะมีการเขียนกำหนดระบุไทป์ หรือสไตล์การต่อสู้ ที่แตกต่างกันไปแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลักๆ ได้แก่ Vanguard พวกบ้าพลังตีแรงแต่เชื่องช้า, Assassin ปราดเปรียวไวว่องแรงน้อยแต่ขยันซอย, Marksman สายยืนยิงจากระยะไกลของพวกจอมเวทย์ทั้งหลาย และสุดท้าย Specialist นักรบสายพิเศษที่มีการโจมตีหลากหลาย จนไม่สามารถจัดรวมอยู่ในสามหมวดหมู่ที่กล่าวมา ยกตัวอย่างเช่น Onion Knight ผู้สามารถสลับเปลี่ยนอาชีพไปมาได้ในระหว่างการต่อสู้ ซึ่งไทป์ตัวละครที่แตกต่างเหล่านี้ ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการวางแผนกลยุทธ์จัดทีมปาร์ตี้ 3 ตัวละคร ให้มีความสมดุลคละเคล้ากันไป เพื่อเป็นการเสริมจุดแข็ง และกลบจุดด้อยให้แก่กัน ไม่ใช่สักแต่ว่าจิ้มเลือกตัวละครแล้วลงไปก้มหน้ารัวปุ่มตีรันฟันแทงกันอย่างเดียว
ถึงตัวเกมจะเป็นการพอร์ตโดยตรงมาจากเวอร์ชันอาร์เขตของญี่ปุ่น แต่ทีมงานก็ใจดีอุตส่าห์บรรจุโหมด Story มาให้เล่นกันด้วย อย่างไรก็ตาม เหล่าสาวก FF ทั้งหลายอย่าเพิ่งกระโดดโลดเต้นกันไปก่อน เพราะโหมดเนื้อเรื่องในเกมนั้นมันไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังกันไว้เลย อันที่จริงเราอยากตั้งเปลี่ยนชื่อใหม่ให้กับมันว่า Gallery Mode เสียมากกว่า เนื่องจากประสบการณ์ที่คุณสัมผัสได้ในโหมดนี้ คือการนั่งดูฉากมูวี่คัตซีนซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจมีให้ขยับแขนขาเปิดศึกต่อสู้กับบอสศัตรูบ้าง แต่ก็เป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับบรรดาฉากคัตซีนที่ไม่รู้ว่าจะตัดต่อแบ่งย่อยซอยถี่ออกเป็นหลายคลิปทำไมตั้งมากมาย แถมโหมดนี้ยังไม่สามารถเล่นเคลียร์ได้ด้วยตัวมันเอง เพราะเราต้องไปหาสะสมผลึก Memoria จากการเก็บเลเวลเข้าเล่นตามโหมดอื่นๆ เพื่อมาปลดล็อคเส้นทางเดินไปต่อข้างหน้า ซึ่งค่อนข้างแปลกประหลาด และฟังดูตลกเสียจริง
สำหรับโหมดการเล่นหลักๆในเกม ที่เหมาะแก่การเก็บเลเวลตัวละคร มีอยู่ด้วยกัน 2 โหมด คือ โหมดออนไลน์สู้กับคนอื่น และ โหมดออฟไลน์ฝึกปรือฝีมือกับคอม ซึ่งอย่างที่หลายคนทราบกันดีว่า เกมสัญชาติญี่ปุ่น กับโหมดออนไลน์มัลติเพลย์เยอร์ ถือเป็นไม้เบื่อไม้เมามาโดยตลอด ไม่เคยไปรอดด้วยกันได้เลยสักครั้ง และเกมนี้ก็ไม่ต่างกัน ด้วยระบบ Matchmaking ที่อาศัยการจับคู่แบบสุ่มวัดดวงตามมีตามเกิด หากโชคดีจับเจอผู้เล่นที่อยู่ละแวกใกล้เคียงกันก็เล่นได้อย่างสนุกลื่นไหล แต่หากโชคร้ายจับเจอคนอเมริกา หรือยุโรป ก็ต้องทนแลคกันไป บางครั้งอาจแลคมากถึงขนาดเล่นไม่ได้เลยก็มี ประมาณว่ากดปุ่ม L1 ไปแล้ว ต้องรอประมาณ 1 - 2 วินาที ตัวละครบนหน้าจอถึงจะยกการ์ดขึ้นมาป้องกัน อีกทั้งด้วยความที่ต้องทนรอนานกว่าจะจับคู่สำเร็จ แถมยังเสี่ยงแพ้พ่ายจากปัญหาแลคทำพิษ อันส่งผลต่อค่าประสบการณ์ที่ได้รับหลังจบแมตช์ จึงเป็นเหตุให้ผู้เล่นจำนวนมากต่างพากันหนีร้อนหันมาพึ่งเย็นนั่งปั๊มเลเวลในโหมดออฟไลน์ กันเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะนอกจากจะได้ค่า Exp ที่เยอะกว่าในเวลาที่เท่ากันแล้ว ตัวละครเพื่อนร่วมทีมอีกสองตัวที่ให้ AI บังคับ ยังได้รับค่าประสบการณ์เหมือนกันด้วย นั่นหมายความว่า ในการเข้าเล่นครั้งหนึ่งเราสามารถฟาร์มเลเวลได้พร้อมกันรวดเดียวถึง 3 ตัวละคร ซึ่งแตกต่างจากโหมดออนไลน์ ที่เลเวลจะเพิ่มให้เฉพาะตัวละครตัวใดตัวหนึ่งที่เราเลือกใช้เท่านั้น
จากคำอธิบายข้างต้น ผนวกกับคอนเซปต์อันแสนตื้นเขินของเกม ที่เน้นเก็บเลเวลไปวันๆ ไร้ซึ่งกิจกรรมพิเศษดึงดูดชักชวนใจให้คนหันมาเล่นในโหมดออนไลน์ จึงไม่น่าแปลกใจที่สังคมเกม Dissidia Final Fantasy NT ณ ปัจจุบัน มีแต่ความเงียบเหงาชวนอ้างว้าง และสะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงความอ่อนด้อยประสบการณ์ของทีมงานนอกอย่าง Team Ninja ที่รู้สึกราวกับว่าพวกเขาไม่รู้วิธีเซอร์วิสเอาใจติ่งซีรีส์นี้เอาเสียเลย จนทำให้เกมดีๆศักยภาพสูงที่หลายคนเฝ้ารอคอย กลายเป็นเพียงแค่เกมแอ็คชั่นต่อสู้ภาพสวยธรรมดา ที่แปะป้ายคำว่า "ไฟนอลแฟนตาซี"
เกมการเล่น | 7 |
กราฟิก | 9 |
เสียง | 9 |
ความคิดสร้างสรรค์ | 7 |
ภาพรวม | 8 |
ข้อดี : เอฟเฟกต์สีสันงามหยด, ดนตรีประกอบชวนรำลึกความหลัง, แอ็คชั่นต่อคอมโบที่สนุก, คนไม่เก่งก็มีสิทธิ์ชนะเพราะเล่นเป็นทีม, มนต์อสูรที่โผล่มาให้เห็นตัวเป็นๆ และตัวละครเยอะจุใจแฟนคลับ FF
ข้อเสีย : เกมเพลย์เน้นเก็บเลเวลแบบไร้จุดหมาย, โหมด Tutorial สุดกั๊กไม่ยอมสอนให้หมด, ปัญหาแลคในโหมดออนไลน์, ไม่มีอีเวนท์หรือจัดกิจกรรมพิเศษอื่นใด, ระบบล็อคเป้าชวนหัวหมุน, การตะลุมบอนพร้อมกัน 6 คนที่ค่อนข้างสับสน และโหมดเนื้อเรื่องที่ยัดไส้มาแต่ฉากคัตซีน
Shin
สนับสนุนบทความรีวิวโดยบริษัท โซนี่ อินเตอร์แอคทีฟ เอนเตอร์เทนเมนต์ ฮ่องกง สาขาสิงคโปร์ (หรือ SIES) และบริษัท Next Generation InnovationNGIN
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*