xs
xsm
sm
md
lg

Review: The Evil Within 2 จิตสยอง จ้องเชือด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แนว สยองขวัญเอาตัวรอด
ระบบ PS4, Xbox One, PC
เรตเกม PEGI: 18 เหมาะสำหรับผู้เล่นที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

การหวนคืนของบิดาผู้ให้กำเนิดซีรีส์ "ไบโอฮาซาร์ด" ในผลงานแอ็คชั่นเซอร์ไววอลภาคต่อผจญภัยในโลกจิตใต้สำนึก ที่ดูดีมีคลาส สมเหตุสมผล และเป็นผู้เป็นคนมากกว่าเดิม

ถึงแม้ว่าตัวเกม "The Evil Within" ที่เป็นผลงานภาคแรกประเดิมซีรีส์ จะเคยสร้างรอยบาดแผล ฝากความทรงจำอันไม่น่าอภิรมย์ฝังแน่นตราตรึงอยู่ในหัวสมองของเหล่าคอเกม แต่ก็นับเป็นเรื่องน่าแปลกที่ผลงานสยองน้องใหม่ของ "ชินจิ มิคามิ" ยังมีกลุ่มแฟนคลับผู้ภักดีคอยอุดหนุน ขายได้ในระดับหนึ่ง จนค่ายผู้ใหญ่อนุมัติไฟเขียวเปิดทางให้เดินหน้าสร้างภาคต่อ ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันช่างเหมือนดั่งฟ้าประทานพรโอกาสแก้มือหนที่สองมาให้กับเจ้าตัว และเขาเองก็ไม่ทำมันให้เสียเปล่า

เรื่องราวของตัวเกมในภาคสอง จะกล่าวถึงเหตุการณ์ 3 ปีให้หลังจากโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล Beacon ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ "เซบาสเตียน คาสเตลลานอส" อดีตหนุ่มนักสืบตัวละครหลักจากภาคที่แล้ว กำลังจมปลักรักคุด ติดอยู่กับอดีตอันแสนขื่นขมจากการที่โดนทั้งภรรยาทิ้ง และต้องมาเสียลูกสาวไปในเหตุการณ์เพลิงไหม้ จนกลายเป็นไอ้ขี้เมาติดเหล้าสิงสถิตอยู่ตามผับตามบาร์ ทว่าสติของเขาก็ฟื้นกลับคืนมา เมื่อรู้ข่าวว่า ลิลี่ ลูกสาวของเขายังไม่ตาย แต่เป็นหนูทดลองสังเวยให้กับ Stem เครื่องเชื่อมต่อจิตใจเวอร์ชันใหม่ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องยอมเสี่ยงชีวิตเหยียบย่างเข้าสู่แดนนรกจิตวิปลาสอีกครั้งเพื่อไปพาตัวเธอกลับออกมา และนั่นก็เป็นชนวนจุดเริ่มต้นแห่งความสยองครั้งใหม่

ฉากหลังสถานที่หลักในภาคนี้ คือเมืองสมมติที่มีชื่อว่า ยูเนี่ยน มหานครจำลองที่ถูกเนรมิตสร้างขึ้นเพื่อรองรับทุกดวงจิตที่เชื่อมต่อเข้ามาในระบบ แต่ปัจจุบันอยู่ในสภาพทรุดโทรมล่มสลายจากการหายตัวไปของ ลิลี่ ผู้เป็นศูนย์กลางของระบบ จึงเป็นหน้าที่ของเราในฐานะผู้เป็นพ่อที่ต้องออกตามหาแข่งกับเวลา รวมถึงแข่งกับบรรดาดวงจิตกระหายอำนาจทั้งหลายที่หมายครอบครองในพลังของเธอ โดยสภาพแวดล้อมของเกมนั้น จะค่อนข้างเปิดกว้างใหญ่โตโอ่อ่ากว่าภาคแรกมากนัก เนื่องด้วยจุดประสงค์ของทีมพัฒนาที่หวังหยิบนำองค์ประกอบ "โอเพ่นเวิลด์" มาผสมใส่ลงไปในเกมสยองขวัญ เพื่อให้ผู้เล่นมีอิสระเสรีในการเดินสำรวจ และเลือกรับทำไซด์เควสต์ได้ตามใจชอบ อย่างไรก็ตาม ความอิสระแบบนอกลู่นอกทางจะมีให้เห็นอยู่เพียงแค่ช่วงครึ่งแรกของเกมเท่านั้น เพราะตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังเป็นต้นไป ตัวเกมจะหันกลับมาโฟกัสที่เรื่องราวเมนหลักอันเข้มข้นดำเนินเป็นเส้นตรงเหมือนเดิม เรียกว่าใส่มาให้เรารู้สึกแปลกใหม่พอประมาณ และเป็นการรักษาโครงเรื่องไม่ให้มันหลุดออกทะเลไปไกลจนน่าเบื่อ

นอกจากเราจะมีอิสระในการเดินสำรวจฉากแล้ว ยามปะทะเจอะเจอกับศัตรู ผู้เล่นยังมีอิสระในการเลือกวิธีเข้าจัดการได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเปิดฉากกราดยิงด้วยคลังอาวุธปืนที่พกมาเต็มหลัง แอบย่องลอบเร้นเชือดมันทีละตัวแบบเงียบๆเพื่อประหยัดกระสุน หรือเลือกที่จะไม่สนใจใช้สองเท้าวิ่งจ้ำอ้าวเผ่นแน่บออกไปโดยไม่ต้องเหนื่อยเสียแรงสู้เลยก็ย่อมได้ แถมวิธีอย่างหลังยังสามารถนำไปใช้กับบอสใหญ่บางตัวได้ อีกด้วย

เช่นเคยเหมือนภาคแรก ยามที่ศัตรูถูกกำจัดลง มันจะปล่อยของเหลวสีเขียวๆออกมาที่เรียกว่า Green Gel ซึ่งหากเรากอบโกยเก็บสะสมได้มากพอ ก็จะสามารถนำไปอัปเกรด ปลดล็อคสกิลใหม่ๆให้ตัวละครของเราเก่งขึ้น โจมตีแรงขึ้น อึดขึ้น วิ่งได้นานขึ้น ยิ่งสกิลหลังๆอย่าง Synaptic Focus ที่ทำให้ทุกอย่างช้าลงได้ ตัวเราก็ยิ่งขยับเข้าใกล้คล้ายดั่งซูเปอร์ฮีโร่ แต่อย่าเพิ่งคิดว่าหากอัปจนตัวละครเก่งแล้ว เราจะสามารถผ่อนคลายทำชิลเหมือนเดินเล่นในสวนหย่อมได้ เพราะเมื่อเราเล่นผ่าน Chapter ไปเรื่อยๆ ศัตรูที่เห็นเดินวนเวียนอยู่ภายในฉาก ก็จะมีการยกระดับอัปเกรดพัฒนาตัวเองขึ้นตามผู้เล่น จากฝูงซอมบี้ธรรมดายิงหัวนัดเดียวดับในช่วงต้น พอเล่นนานไปสักพักวกกลับมาดูอีกที มันก็มีกลุ่มศัตรูหน้าใหม่ฆ่าลำบากตายยากกว่าเดิมถือกำเนิดโผล่ขึ้นมาแทนที่ และเมื่อจับเหล่าศัตรูแสนโหด มาชนกับตัวเราที่อาวุธพร้อมรบครบมือ จึงทำให้บรรยากาศของเกมในช่วงหลัง ดูคล้ายราวกับหนังสงครามกลางเมือง กันเลยทีเดียว

สำหรับการบริหารจัดการ "ทรัพยากร” อย่างกระสุน หรือสมุนไพรฟื้นพลัง ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ผู้เล่นต้องใส่ใจให้ความสำคัญ เพราะที่ตัวเกมให้มาค่อนข้างมีอยู่จำกัด เพียงพอต่อการพิชิตบอสแบบหวุดหวิดฉิวเฉียดเท่านั้น และทรัพยากรที่ได้มาส่วนใหญ่ก็มักเป็นประเภท "วัตถุดิบ" ที่ต้องผ่านกระบวนการคราฟต์ของ หรือหากเป็นอาวุธก็ไปต้องซ่อมบำรุงเสียก่อน ถึงจะสามารถหยิบนำมาใช้ได้ ซึ่งหากใครคิดว่ามันยุ่งยากลำบากเกินไป เล่นแล้วรู้สึกเครียดกดดันกับกระสุนที่มีอยู่น้อยนิด หรือปวดหัวกับเหล่าบอสสุดโหดที่โจมตีแรงเหลือเกิน เราก็ขอให้ท่านละทิ้งอคติยอมลดตัวลงไปเล่นระดับ Casual อันเป็นความยากระดับมาตรฐานตามที่ทีมผู้พัฒนากล่าวบอกแนะนำ ซึ่งเท่าที่ลองถือว่ามันอยู่ในระดับที่กำลังโอเค ไม่ยากไม่ง่ายเกินไปเหมาะสำหรับการเล่นรอบแรกเป็นที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองแล้วว่า จะเลือกสัมผัสประสบการณ์แบบไหน ระหว่าง "เกมยิง" หรือ "เกมวิ่งหนี" ผี

อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงในเกมนี้ เชื่อว่าหลายคนคงสังเกตเห็นสะดุดตากันแล้วตั้งแต่ฉากเริ่มเปิดเกม ที่มีชื่อของ "ชินจิ มิคามิ" ปรากฏอยู่ในฐานะโปรดิวเซอร์ ซึ่งการที่เจ้าตัวถูกขยับบทบาทเลื่อนขึ้นไปคอยควบคุมดูแลงานอยู่ห่างๆนั้น มันส่งผลดีมากกว่าคราวก่อนตอนที่เฮียแกนั่งแท่นไดเร็กเตอร์กำกับมันทุกอย่างด้วยจินตนาการพิลึกพิลั่นอันสุดโต่งของตัวเอง หลักฐานก็คือผลงานเกมสยองขวัญภาคต่อ ที่ยังคงกลิ่นอายสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา เหมือนหยิบเอา "ไบโอฯ 4" มาผสมกับ "เดวิลเมย์คราย" ถึงแม้บรรยากาศโดยรวมจะชวนหลอน แต่ก็แอบถ่ายทอดมุมมองเท่ๆของตัวละคร มีฉากต่อสู้แอ็คชั่นเจ๋งๆให้น่าจดจำ ส่วนความประหลาดวิปลาสในโลกแห่งจิตใจ ก็ล้วนนำเสนอแบบมีเหตุผลที่มาที่ไปรองรับสนับสนุน อยู่ในกรอบเกณฑ์ที่กำลังพอเหมาะพอดี สมองคนเล่นพอทนรับไหว ไม่เพี้ยนหนักยำใหญ่ใส่สารพัดจนเละตุ้มเป๊ะเหมือนภาคที่แล้ว นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม แม้ที่เขียนบรรยายไปส่วนใหญ่เราจะกล่าวชมซะเยอะ แต่ใช่ว่าตัวเกมมันจะไม่มีข้อบกพร่องใดๆเลย ซึ่งสิ่งที่เราอยากติคงเป็นเรื่องของปัญหาทางด้านเทคนิค เกี่ยวข้องกับการเขียนโค้ดโปรแกรมเสียมากกว่า หากว่า "มิคามิ" เปรียบเสมือนหัวสมองของโปรเจกต์ เหล่าโปรแกรมเมอร์ทีมงานของเขา ก็คงเป็นแขนขาที่ดูแล้วค่อนข้างพิกลพิการ ฝีมือไม่ฉมังเข้าขั้นเหมือนสมัยตอนที่อยู่กับแคปคอม และเชื่อว่าทุกคนที่ได้ลองสัมผัสก็คงคิดรู้สึกแบบเดียวกัน เพราะในเกมบางทีกระสุนที่เรายิงกลับพุ่งตรงทะลุผ่านเรือนร่างของศัตรูไปเฉยๆ ราวกับว่าโครงร่างโมเดลสามมิติไม่ตรงกับภาพลักษณ์ที่ตาเห็น บางคราศัตรูที่อยู่ด้านล่างต่างระดับ ก็สามารถวาร์ปขึ้นมาจับตัวเราที่อยู่ด้านบนได้เหมือนหนัง "จัมพ์เปอร์" ปัญหาโหลดสภาพแวดล้อมไม่ทันแม้ฉากโอเพ่นเวิลด์จะไม่กว้างเท่าไหร่นัก หรือบ่อยครั้งที่เรามักเห็น AI ศัตรูเดินติดข้าวของเล็กๆภายในฉากแบบโง่ๆ รวมถึงระบบไซด์เควสต์ ก็เช่นกัน ที่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าเมื่อเห็นแล้วควรรีบทำเลยเดี๋ยวนั้น เพราะถ้ามัวรีรอปล่อยเอาไว้ก่อน เราอาจจะไม่มีโอกาสย้อนกลับมาทำมันอีกเลย จากการที่ตัวเกมจู่ๆก็นึกอยากตัดบทเข้าสู่เนื้อหาเส้นตรงโดยไม่บอกกล่าวแจ้งเตือนผู้เล่น หากมาล่วงรู้เอาภายหลังว่าได้พลาดของดีเข้าให้แล้ว อาจทำให้บางคนถึงกับหมดกะจิตกะใจอยากเล่นมันต่อเลย ก็เป็นได้

สรุปรวมๆแล้ว ถ้าถามว่าคิดยังไงกับ "The Evil Within 2" ส่วนตัวรู้สึกชอบนะ ชอบมากกว่าไบโอฯภาคล่าสุดที่เป็นมุมมองบุคคลที่หนึ่งเสียด้วยซ้ำไป แต่เหตุผลที่เราให้คะแนนเกมนี้ต่ำกว่าเล็กน้อย ก็คงเป็นเพราะการเก็บงานที่ไม่เรียบร้อย รวมถึงปัญหายิบย่อยที่คอยกวนใจ อย่างที่ได้เกริ่นไป และเชื่อเหลือเกินว่าหากเราให้เวลาทีมงาน Tango Gameworks ได้ขัดเกลาฝีมือของพวกเขาอีกสักหน่อย แฟรนไชส์สยองขวัญน้องใหม่รายนี้ คงสามารถขึ้นมาทดแทนเบียด "เรสซิเดนท์ อีวิล" ให้ร่วงตกกระป๋องได้ในไม่ช้า

เกมการเล่น8
กราฟิก9
เสียง9
ความคิดสร้างสรรค์9
ภาพรวม8.8


ข้อดี : โลกโอเพ่นเวิลด์ที่เปิดกว้างอิสระ, มีไซด์เควสต์ให้เลือกทำ, ภาพสวยไหลลื่นกว่าภาคที่แล้วมาก, ลำดับเรื่องราวเข้าใจง่ายกว่าเดิม, ตัวละครมีเสน่ห์น่าดึงดูด, ถ่ายทอดความสยองออกมาได้แบบมีศิลปะ, ได้เห็นฉากแอ็คชั่นเท่ๆ และมีความลับมากมายชวนให้กลับมาเล่นซ้ำหลายรอบ
ข้อเสีย : การบังคับเล็งยิงอืดอาดเชื่องช้า, แอนิเมชั่นศัตรูแสนพิลึก, บัคประปราย และความยากระดับ Normal ที่โหดจนอยากเขวี้ยงจอย

Shin
สนับสนุนบทความรีวิวโดยบริษัท Next Generation InnovationNGIN










*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*






































กำลังโหลดความคิดเห็น