แนว กีฬา
ระบบ PS4, Xbox One, PC
เรตเกม PEGI: 3 เหมาะสำหรับผู้เล่นที่มีอายุ 3 ปีขึ้นไป
ฤดูกาลใหม่มาถึงแล้ว สำหรับแฟรนไชส์ลูกหนังขวัญใจมหาชนอย่าง "ฟีฟ่า" ที่ดูเหมือนยิ่งพัฒนาไปมากภาคเท่าไหร่ อารมณ์การเล่นในสนามจริง ก็ยิ่งกลายพันธุ์ออกลายคล้ายเกมกีฬาฝั่งแดนมะกัน เข้าไปทุกที
สำหรับเกมฟีฟ่าภาคนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งภาคที่ทีมงานยังคงปักหลักเลือกใช้เอนจิ้น Frostbite ในการพัฒนาเหมือนเช่นเคย ส่งผลให้ภาพบรรยากาศทั้งใน และนอกสนาม ดูสวยงามสมจริงสมจัง ไม่ว่าจะเป็นสีหน้านักเตะ การมีส่วนร่วมของแฟนบอลบนอัฒจันทร์ รวมไปถึงสีสันแสงเงาของดวงอาทิตย์ที่สาดส่องมายังพื้นสนาม ที่ต่างกันไปตามช่วงเวลาของวัน เมื่อนำมันมารวมกับเสียงพากย์บรรยาย, รายละเอียดการพรีเซนต์นำเสนอ และลิขสิทธิ์ทีมโลโก้ชุดแข่งขันเหย้าเยือนครบเครื่องแทบทุกลีกอันเป็นจุดขาย จึงทำให้มันกลายเป็นเกมฟุตบอล ที่สอบผ่านฉลุยในเรื่องของอรรถรส และบรรยากาศความสมจริง
เมื่อขึ้นฤดูกาลใหม่ทั้งที แน่นอนว่ามันต้องมีลูกเล่นใหม่ๆมาให้แฟนๆได้ตื่นเต้นกัน และที่เห็นเด่นชัดสุดในภาคนี้ คงเป็นเรื่องระบบ Quick Subs หรือการเปลี่ยนตัวนักเตะอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็ว่องไวสะดวกสบายสมชื่อ โดยในช่วงท้ายเกม หากมีนักเตะคนใดในทีมเหนื่อยเมื่อยล้าก็จะปรากฏปุ่ม R2 ขึ้นมาในช่วงจังหวะลูกนิ่ง หรือบอลออกนอกสนาม เพื่อให้เรากดยืนยันส่งตัวที่สดใหม่กว่าลงสนามได้ทันที ไม่ต้องกด Pause หยุดเกมบ่อยๆให้ฝ่ายตรงข้ามมองเขม่น แถมยังช่วยให้เกมการเล่นดูลื่นไหลต่อเนื่อง ซึ่งเราสามารถเข้าไปกำหนดเลือกตัวนักเตะที่จะเปลี่ยนได้ในหน้าจอเซตแผนก่อนเริ่มแมตช์ หรือหากใครขี้เกียจไม่อยากปรับแต่งอะไรเลย ตัวเกมก็จะเลือกนักเตะเปลี่ยนลงสู่สนามตามตำแหน่งที่เหมาะสมให้เราเองอัตโนมัติ
ส่วนโหมด Career สวมบทเป็นผู้จัดการทีม ในฟีฟ่าภาคใหม่นี้ก็มีการพัฒนาปรับปรุงเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเวลาที่เราทำการเจรจาติดต่อซื้อขายนักเตะกับสโมสรอื่น ที่อุตส่าห์ลงทุนทำเป็นฉากมูวี่คัตซีนอินเตอร์แอคทีฟ ให้เรามีโอกาสได้เห็นใบหน้าโค้ชทีมคู่ค้าที่เราเจรจาด้วย และพอหลังจากตกลงเงื่อนไขจนพอใจทั้งสองฝ่าย ก็ถึงคราวเชิญนักเตะกับเอเย่นต์ส่วนตัว มานั่งคุยเรื่องเงินค่าเหนื่อย ซึ่งสร้างฟีลอารมณ์ร่วมให้ผู้เล่นรู้สึกอินไปกับบทบาทเอามากๆ นอกจากนี้ในหน้าเมนหลัก ยังปรากฏกรอบหน้าต่างเล็กๆเว้นว่างเอาไว้คอยอัปเดตข่าวสารการเปลี่ยนแปลงในตลาดนักเตะในรูปแบบคลิปวิดีโอ เหมือนเรากำลังเปิดทีวีนั่งดูติดตามข่าวการย้ายตัว อีกด้วย
นับเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับแฟรนไชส์เกม ที่ต้องเข็นภาคใหม่ออกเป็นประจำสม่ำเสมอ หากจะให้โละของเก่าทิ้ง หรือยกเครื่องเปลี่ยนถ่ายระบบใหม่มันหมดทุกครั้ง ก็คงแลดูเป็นเรื่องยาก หาเรื่องลำบากใส่ตัวเปล่าๆ แถมหากยิ่งเป็นเกมแนวกีฬาด้วยแล้ว คงไม่มีแฟนคลับคนไหนอยากตั้งต้นนั่งเรียนรู้กันใหม่ทุกปี ซึ่งจะว่าไปการที่ตัวเราปิดกั้นตัวเอง ไม่คิดพัฒนาเปลี่ยนแปลง หรือยอมรับสิ่งใหม่ๆ มันก็สามารถแปรเปลี่ยนกลายเป็นจุดแข็งได้เหมือนกัน หากสิ่งที่เรากำลังทำ มันดีเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ซึ่งในกรณีเกมเพลย์ของ "ฟีฟ่า" นั้น มันช่างสวนทางตรงข้ามไกลห่างจากคำว่า "เพอร์เฟกต์" ซะเหลือเกิน
ตามที่ได้เกริ่นไป ระบบการเล่นใน "FIFA 18" นั้น มันไม่ได้แค่ย่ำแย่ แต่เข้าขั้น "หายนะ" เลยทีเดียว เพราะมันเป็นส่วนผสมระหว่างสิ่งน่าผิดหวังจากภาคก่อนๆที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข กับปัญหาใหม่ๆที่ชวนปวดหัวหนักยิ่งกว่าเดิม หยิบยกมาเด่นๆก็อย่างเช่น ความรู้สึกเหมือนเรากำลังเตะบอลอยู่บนลานสเก็ตน้ำแข็ง, เหล่ากองหน้าตาทิพย์ ที่สามารถรับลูกส่งจากแดนหลังได้โดยไม่ต้องเหลียวหันมามอง, จังหวะชิปโยนลูกโด่งข้ามหัวที่บอลค้างกลางอากาศนานผิดปกติจนกองหลังวิ่งตามทันมาตัดเอาไปง่ายๆ หรือยามบุกเข้าทำประตู หากมีฝ่ายตรงข้ามมาทำให้เสียจังหวะ นักเตะของเราก็จะเข้าสู่โหมด Error สัญชาตญาณมลายหายสิ้น ไม่มีกะจิตกะใจอยากเล่นบอลเอาดื้อๆ รวมไปถึงจังหวะเบียดเสียดชนไหล่กระทบกระทั่งกันนิดหน่อย แต่นักเตะถึงกับหัวคะมำคว่ำหงาย จนนำไปสู่การเสียจุดโทษง่ายดายแบบชนิดไม่น่าให้อภัย
นอกเหนือจากความเซ่อซ่า และการเคลื่อนไหวแบบฝืนธรรมชาติผิดมนุษย์มนาของ AI เพื่อนร่วมทีม ที่ชวนให้นึกถึงแฟรนไชส์ "ฟุตบอล แมเนเจอร์" แล้ว ทางทีมผู้พัฒนา ยังปรับปรุงส่งเสริมให้ฟีฟ่าภาคนี้ กลายเป็นฝันร้ายของเหล่าบรรดานักเล่นสายอุด ด้วยปุ่มกดเกมรับที่อาจต้องใช้พัลวันถึง 7 ปุ่ม ไหนจะต้องกดเปลี่ยนสลับตัว, กดวิ่งไล่, วิ่งเหยาะๆ, สั่งเพื่อนช่วยไล่, ตามประกบติด, เข้าสกัดแทคเกิล และกดเสียบสไลด์ หากนั่นยังยากลำบากไม่พอ ระบบเกมยังช่วยกระหน่ำซ้ำเติมทำให้ตัวนักเตะฝ่ายรับมีการขยับเชื่องช้าหนักอึ้งเหมือนมีวิญญาณคอยลากขาพาไปอยู่ด้วย ในขณะที่นักเตะฝ่ายรุกผู้มีบอลอยู่กับเท้ากลับรู้สึกเบาหวิวออกตัวไวแบบจรวด และนึกหยุดได้ดั่งใจไร้แรงจี เพียงแค่โยกอนาล็อคซ้ายเบาๆ ก็สามารถหลุดตัวประกบทั้งแผงเข้าไปถลุงประตูอย่างง่ายดาย ยิ่งในศึกบิ๊กแมตช์ทีมระดับใหญ่มาเจอกันด้วยแล้ว แทนที่จะมีโอกาสยิงกันน้อยเหมือนในทีวี กลับกลายเป็นมหกรรมระเบิดถัง...ครั้งมโหฬาร สกอร์ไหลบานทะยานหลักสิบ ซึ่งการปล่อยให้ต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกโดยไม่สนเกมรับกันแบบนี้ จึงทำให้เราแอบงงสงสัยว่าทางทีมงานได้ดึงเอา "นักบาสฯอาชีพ" มาออกแบบระบบการเล่นให้หรืออย่างไร?
ถึงแม้จะมีด้านลบให้แฟนเกมค่ายคู่แข่งเอาไปคุยถล่มทับถมกันสนุกปาก แต่ฟีฟ่าภาคนี้ มันก็ยังพอมีเรื่องราวๆดีให้น่าจดจำอยู่บ้าง เพราะแรกเริ่มเดิมทีคงไม่มีใครคาดคิดว่า มันจะมีโหมดไหนในซีรีส์ฟีฟ่าที่สามารถโดดเด่นขึ้นมาทดแทนบดบังบารมีโหมดเปิดการ์ดยอดนิยมอย่าง อัลติเมททีม ได้ ทว่าภายหลังจากที่ได้ลองสัมผัสจริงๆ สิ่งที่เคยคิดไว้กลับผิดถนัด เมื่อได้มาเจอกับโหมด "The Journey: Hunter Returns" การกลับมาในซีซั่นที่สองของสตาร์ดาวรุ่งผิวหมึก "อเล็กซ์ ฮันเตอร์" ที่นำเสนอออกมาได้ดี มีพัฒนาการเติบโตจากภาคที่แล้วมาก โดยภาคนี้ตัวเราจะไม่ได้อุดอู้อยู่แต่ในเกาะอังกฤษ แต่จะได้ออกไปค้าแข้งเปิดหูเปิดตาในต่างแดน โดยเฉพาะ เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ ในสหรัฐฯ
สำหรับโหมดแข้งล่าตามหาฝันในภาคใหม่นี้ ผู้เล่นจะมีอิสระในการเลือกปรับแต่งตัวละครนักเตะเบอร์ 29 รายนี้ ได้ตามใจปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งการยืนในแนวรุก ที่มีให้เลือกทั้งหน้าเป้า ปีก หรือกองกลางตัวสร้างสรรค์เกม, เลือกเท้าข้างที่ถนัด, ปรับลุคทรงผม, เพิ่มรอยสัก, แต่งชุดแข่งขัน และเปลี่ยนใส่รองเท้าสตั๊ดใหม่ๆที่ถูกปลดมาเรื่อยๆ ซึ่งรูปแบบการเล่นก็จะสลับไปมาระหว่างช่วงฝึกฝนในสนามซ้อม กับวันที่ต้องลงแข่งจริง หากทำผลงานได้ดีเข้าตาโค้ช เราก็จะสามารถยึดตำแหน่ง 11 ตัวจริง แต่หากฟอร์มย่ำแย่ เราก็อาจถูกดร็อปเป็นตัวสำรองนั่งดูเพื่อนเล่นอยู่ข้างสนาม แถมยิ่งเล่นไปเรื่อยๆ เราอาจได้เปลี่ยนสลับไปสวมบทตัวละครใหม่ๆ หรือมีคู่หูคู่ขามาช่วยกระตุ้นสร้างสีสัน ซึ่งการที่ตัวเกมมีอะไรมาให้เราได้เซอร์ไพรส์อยู่ตลอดเวลานี้เอง จึงนับเป็นครั้งแรกของตัวผู้รีวิว ที่จับเกมแนวกีฬาแล้วเกิดติดพันชนิดเล่นมันข้ามวันข้ามคืน
จากการที่ ระบบเกมเพลย์ ยังคงย่ำต๊อกอยู่กับที่ หรือบางทีอาจถอยหลังลงคลองยิ่งกว่าเดิม จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม ณ ปัจจุบัน เกม "FIFA 18" ถึงได้ถูกคู่แข่งมารหัวใจอย่าง "PES 2018" ที่เข้าอกเข้าใจ และหยิบเอาเสน่ห์เกมกีฬาฟุตบอลมาถ่ายทอดได้ดีกว่า นำโด่งทิ้งห่างแซงนำไปหลายช่วงตัว แต่ยังโชคดีที่ปีนี้ได้โหมด The Journey ช่วยฉุดชุบชีวิตไว้ มิเช่นนั้นคะแนนคงต่ำตมแย่ลงไปกว่าที่เห็น ซึ่งคุณงามความดีของมัน นับว่าเพียงพอที่จะทำให้เราหลงลืมมองข้ามภาพติดตาอันเลวร้ายในสนามไปได้
เกมการเล่น | 7 |
กราฟิก | 9 |
เสียง | 9 |
ความคิดสร้างสรรค์ | 9 |
ภาพรวม | 8 |
ข้อดี : ภาพบรรยากาศสวยสดงดงาม, เหล่าสตาร์แข้งดังที่มีลีลาการวิ่งเหมือนจริง, ฟีเจอร์ควิกซับเปลี่ยนตัวฉับไวไม่ต้องหยุดเกม, ฉากคัตซีนตอนเจรจาซื้อขาย และโหมด Journey ที่สนุกเข้มข้นจนวางจอยไม่ลง
ข้อเสีย : AI ออกอาการเอ๋อเหรออยู่บ่อยครั้ง, เกมรุกเลี้ยงบอลไวแบบติดจรวด, กองหลังวิ่งเท้าเปล่ากลับเชื่องช้าเป็นเต่าคลาน, การเข้าสกัดตั้งรับที่ยุ่งยากแสนลำบาก, ฟิสิกส์ลูกบอลยังเคลื่อนที่ไม่สมจริง, นักเตะแตะตัวกันนิดเป็นล้มเสียจุดโทษตลอด และไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่นอกจากโหมดชีวิตค้าแข้งอันแสนวิเศษของ "อเล็กซ์ ฮันเตอร์"
Shin
สนับสนุนบทความรีวิวโดยบริษัท Electronic Arts EA
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*