CERO B เหมาะสำหรับผู้ที่อายุ 12 ปีขึ้นไป
ถ้าเป็นยุคก่อน ถ้าพูดถึงเกมเล่นตามบทบาทหรือเกม Role-playing game (RPG) แล้วคนส่วนใหญ่คงนึกถึงเกมฝั่งญี่ปุ่นอย่าง ไฟนอลแฟนตาซี หรือ ดราก้อน เควสต์ แต่ในยุคนี้หลายคนอาจคิดถึงเกมจากฝั่งตะวันตกอย่าง Mass Effect และ Dragon Age มากกว่า เกม RPG ของแดนอาทิตย์อุทัยในยุค HD อาจดูจะเป็นวัตถุโบราณตกยุคไปเสียแล้ว
มาวันนี้ผู้สร้าง ไฟนอลแฟนตาซี คุณ "ฮิโรโนบุ ซากางุจิ" กลับมาอีกครั้งหลังจากฟอร์มตกไปเล็กน้อยกับเกม Lost Odyssey และ Blue Dragon แต่คราวนี้เจ้าตัวถึงกับ การันตีว่าได้ทุ่มเททุกอย่างลงไปในเกมเหมือนเป็นเกมสุดท้ายของชีวิต (ที่มาของการแปลข่าวผิดจนลือไปว่าเป็นเกมสุดท้ายของเขา) ทำให้เชื่อว่าทุกสายตาต้องจับจ้องมาที่เกม RPG ที่ว่ากันว่าจะปฏิวัติวงการเกมเล่นตามบทบาทของญี่ปุ่น
แต่ออกจะแปลกใจไม่น้อยที่ปกติเกม RPG จะมีเนื้อเรื่องในโลกอันกว้างใหญ่ แต่เกมนี้กลับไม่ได้ท่องโลกเท่าไรนัก โดยเนื้อเรื่องจะเริ่มต้นที่เมือง Ruil โดยตัวเอก Elza และผองเพื่อนต้องร่วมผจญภัยค้นหาความจริงในเมืองที่เต็มไปด้วยปริศนาของพลังลึกลับ แม้ในเบื้องต้นเนื้อเรื่องจะดูไม่ต่างจากเกม JRPG ทั่วไปนักแต่พอเล่นไปได้สักพักเกมได้ใส่แง่มุมดีๆ เนื้อเรื่องที่ไม่ได้มีแค่ด้านเดียวทำให้พอจะแตกต่างจากเกมทั่วไปบ้าง โดยเกมจะค่อยๆเล่าความหลังของแต่ละตัวละครทำให้เกมน่าติดตาม
รูปแบบการเล่นจะเป็นเกม แอ็คชั่น RPG เน้นไปที่ แอ็คชั่นมาก และเราสามารถบังคับตัวละครหลักได้เพียงตัวเดียว (แต่มีบางจุดได้เล่นเป็นตัวละครอื่น) ไม่สามารถเปลี่ยนได้ และที่ปรับเปลี่ยนให้คล้ายเกมออนไลน์คือ การที่เราไม่ต้องกดปุ่มเพื่อโจมตี ตัวละครของเราจะโจมตีโดยอัตโนมัติ โดยเกมจะใช้ระบบล็อกเป้าเป็นเส้นเหมือนเกม Vagrant Story ที่ทำให้รู้ว่าเราเล็งใครหรือใครเล็งเป้ามาที่เราอยู่ และ ตัวเอก Elza ของเรามีสกิลพิเศษ Gathering ทำให้ศัตรูมาสนใจแต่ตัวเอกซึ่งมีประโยชน์มากในการล่อให้ศัตรูสนใจเราไม่ไปโจมตีเพื่อนร่วมทีมที่กำลังร่ายเวทและจำเป็นต้องใช้ไปตลอดเกม
ที่โดดเด่นคือระบบที่เรียบง่ายเข้าใจง่ายไม่ต้องตั้งค่าเยอะให้วุ่นวาย แถมสู้ศัตรูเสร็จพลังก็เต็มเองและเกมไม่มี MP แต่ใช้ระบบเก็บแถบค่าสกิล ส่วนระบบอาวุธก็ยืดหยุ่นสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ระบบอาชีพก็มีไม่กี่อย่างดูง่าย แต่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ การอัพเกรดอาวุธก็ง่ายเพราะแค่หาของมาตี ส่วนการโจมตีด้วยเวทจะส่งผลกระทบเป็นพื้นที่วงกลม ทำให้การเล่นง่ายดายเช่นเวทเติมพลังก็แค่บังคับตัวละครให้วิ่งเข้ามาในเขตของเวทเพื่อเติมพลัง และแม้เราจะบังคับตัวละครได้แค่ตัวเดียว แต่เราสามารถหยุดเกมเพื่อสั่งการเพื่อนร่วมทีมให้ทำตามที่เราต้องการได้ โดยเกมมีขีดพลังเหมือนเกมแอ็คชั่น และยังมีพลังชีวิตที่เราตายจะฟื้นขึ้นมาได้ 5 ครั้ง โดยถ้าตัวละครที่เราบังคับตัวหมดเกมก็โอเวอร์ ยิ่งทำให้เกมนี้เหมือนเกมแอ็คชั่นมากขึ้นไปอีก
ส่วนระบบการเล่นแม้จะเน้นไปที่แอ็คชั่น แต่เราก็ต้องใช้สมองเพื่อวางกลยุทธ์ในการต่อสู้ว่าต้องใช้ท่าหรือเวทอะไร หรือควรจัดการศัตรูตัวไหนก่อน ผู้เล่นต้องวางแผนให้ดี เพราะเกมไม่ง่ายนัก บางด่านถ้าคุณเดินดุ่ยๆไปฟันศัตรูก็อาจจะตายอย่างไม่รู้ตัว เพราะนักเวท และพวกยิงไกลน่ากลัวมาก หลายครั้งทำให้เราตายได้ด้วยการยิงเวททีเดียว ส่วนบอสในเกมก็น่ากลัวไม่น้อย เพราะในบางครั้งเราต้องหาจุดอ่อนเพื่อหาวิธีจัดการ ทำให้แม้เกมจะไม่ลึกเท่าไรแต่มันก็มีสิ่งให้ผู้เล่นต้องคิดและวางแผนเช่นกัน
และด้วยความเป็นแอ็คชั่นของเกมทำให้ตัวละครเรามีรูปแบบการเคลื่อนไหวที่หลากหลายกว่าเกม JRPG มากทั้งการ เข้าหาที่กำบังเพื่อหลบหลีกแบบเกมยิง หรือการลอบเร้นที่ต้องคอยหลบหลีกไม่ให้ศัตรูเห็นแบบเกมสายลับ รวมไปถึงการลอบโจมตีซึ่งจะรุนแรงกว่าฟันตรงๆ นอกจากนี้เกมยังมีแอ็คชั่นที่หลากหลายมากทั้ง การแทรกตัวไปในที่แคบหรือหมอบคลาน หรือการห้อยโหนในบางด่าน รวมทั้งการเล็งยิงด้วยหน้าไม้ที่จะเปลี่ยนมุมกล้องเป็นมุมมองที่ทำให้เล็งยิงง่ายขึ้น และมีการยิงเพื่อให้กำแพงถล่มลงมาทับศัตรู หรือสิ่งของบางอย่างในฉากก็สามารถทำลายได้ เมื่อทุกอย่างมารวมกันแล้วเรียกว่าถ้าปรับปรุงการเล่นให้ลื่นไหลอีกนิดมันอาจกลายเป็นเกมแอ็คชั่นชั้นดีได้เลย
แต่ด้วยความเป็นแอ็คชั่นสูงทำให้เกมขาดความซับซ้อนพอสมควร โดยเกมแบ่งออกเป็นchapter ที่ไม่ยาวและไม่ซับซ้อน การออกแบบด่านค่อนข้างเป็นเส้นตรง ไม่มีปริศนาให้แก้เท่าไร แม้จะกลับไปเล่นด่านเก่าๆได้บ้าง แต่เกมก็ขาดความหลากหลาย ในรูปแบบเกม RPG อย่างไรก็ตามความน่าหงุดหงิดในการเล่น RPG รูปแบบเดิมๆก็ไม่มีให้เห็นเช่นกัน เช่นการมี Shortcut ที่ทำให้เราเลือกไปสถานที่ต่างๆได้เพียงแค่เลือกจุดที่จะไปบนแผนที่ เกมก็จะพาเราไป แม้กระทั้งในปราสาทที่ไม่กว้างนัก เกมยังย่นย่อให้ ทำให้การเดินเพื่อหาข้อมูลเพื่อหาทางไปต่อทำได้ง่ายและรวดเร็ว แต่ถ้าคุณชอบสำรวจก็ไม่ต้องห่วงเพราะเกมได้ใส่การสำรวจด้วยการเปลี่ยนมุมกล้องเป็นบุคคลที่ 3 และ 1 เข้ามาและจำเป็นต้องใช้ไปตลอด
โดยตัวเกมก็ไม่ยาวนักคุณอาจใช้เวลาไม่ถึง 30 ชม. เพื่อจบเกม อาจดูสั้นไปนิดถ้ามันเป็นเกม RPG แต่ถ้าเป็นเกมแอ็คชั่นถือว่ายาวมาก แต่อย่างไรก็ตามเกมได้ใส่โหมดมัลติเพลย์เยอร์แบบออนไลน์ไว้ ให้เล่นกันโดยมีทั้งไล่ตีกัน แบบ death match หรือ แบบร่วมกลุ่มกันสู้กับบอสสุดโหด โดยเล่นกับเพื่อนๆทั่วโลกได้มากถึง 6 คน และยังมีการจัดอันดับผู้เล่นให้อีก เสียดายที่การออนไลน์แม้จะลื่นไหลดี แต่การค้นหาคนเล่นด้วยใช้เวลานานไปนิด
ที่โดดเด่นคือ กราฟิกในเกมที่แม้จะไม่ได้สวยที่สุดบน วี แต่ก็ทำได้เหนือกว่าหลายเกม โดยเฉพาะการแสดงสีหน้าของตัวละครทำได้ดีมาก การเคลื่อนไหวของตัวละครก็สมจริงและละเอียดมากเพราะมีแม้กระทั่งการเดินชนไหล่ชนคนล้มที่มีในเกม OpenWorld แต่ที่ต้องติคือรายละเอียดของเสื้อผ้า ดูหยาบไปหน่อย แต่ยังดีที่เสื้อผ้าเกราะอาวุธ จะไปแสดงผลในเกมทุกชิ้น รวมทั้งเรายังเปลี่ยนสีเกราะได้ตามใจชอบอีกด้วย ส่วน CG ในเกมก็ยังทำได้สวยงามตามมาตรฐานผู้สร้าง ไฟนอลแฟนตาซี เสียดายที่ดนตรีประกอบในเกมอาจจะดูธรรมดาไปนิดแม้ว่าจะได้ Nobuo Uematsu เจ้าประจำของซีรีย์ มาแต่งเพลงให้ก็ไม่ช่วยให้เพลงในเกมโดดเด่นเท่าไรนัก ยังคงสู้ผลงานเดิมๆของเขาไม่ได้ เพราะนอกจากธีมหลักแล้วไม่มีเพลงติดหูเท่าไร ดีที่การพากย์เสียงในเกมได้คัดนักพากย์ชั้นดีมาให้เสียงทำให้ระบบเสียงพอจะมีดีอยู่บ้าง
สรุปแล้วนี่อาจถึอว่าเป็นเกม แอ็คชั่น RPG ที่มีรูปแบบแปลกใหม่สนุกเกินคาด เสียดายที่เกมไม่ได้ใช้ความสามารถของเครื่อง วี ให้เกิดประโยชน์เลยแม้แต่น้อย และเล่นบนจอยคลาสสิกบน วี ได้ถนัดกว่า จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเกม The Last Story ไปโลดแล่นอยู่บนเครื่องอื่นที่ทรงพลังกว่านี้ เกมจะดูดีขนาดไหน และแม้จะมีบางอย่างไม่ลงตัวบ้างแต่ความสนุกลื่นไหลของแอ็คชั่นทำให้เกมสนุกไม่แพ้เกม RPG จากตะวันตกเช่นกัน ถือว่าเป็นก้าวเดินที่ถูกทางของเกม JRPG ยุคใหม่ที่ประสานรูปแบบเกมใหม่ๆเข้ากับระบบเดิมๆได้อย่างลงตัว
| เกมการเล่น | 9.2 |
| กราฟิก | 8.8 |
| เสียง | 8 |
| ความคิดสร้างสรรค์ | 9 |
| ความคุ้มค่า | สนุกเข้าใจง่าย |
| ภาพรวม | 9 |
ข้อดี : รูปแบบการเล่นเข้าใจง่าย ลื่นไหล ท้าทาย กราฟิกสวย
ข้อเสีย : เกมเน้นแอ็คชั่นมากเกินไปจนขาดความซับซ้อน
ข้อแนะนำ : หนึ่งในเกม RPG ที่ดีที่สุดบน วี
Darth.Vader (วงศกร ปฐมชัยวัฒน์)
สนับสนุน บทความโดย ร้านเกม NADZ PROJECT
