xs
xsm
sm
md
lg

Review : "Final Fantasy XIII" มหาสงครามสุดอัศจรรย์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


                      CERO B : เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป

ว่ากันว่าการตั้งความหวังอะไรมากเกินไปมักจะผิดหวังเสมอ แต่สำหรับเกมเทพอย่าง "Final Fantasy XIII" ที่มีแฟนๆรอคอยกันทั่วโลก แถมการที่ห่างหายไปเกือบ 4 ปี และทำลงเครื่อง PS3 ที่ทรงพลัง ทำให้อดไม่ได้ที่จะตั้งความหวังไว้สูง

หลังจากรอคอยกันมานานแสนนาน Final Fantasy XIII ก็ได้ ฤกษ์ออกมาให้แฟนๆหายคิดถึง โดย Final Fantasy เป็นเกมเล่นตามบทบาท หรือที่เรียกว่า Role-playing game ฝั่งญี่ปุ่น ที่มีประวัติยาวนานกว่า 20 ปี โดยเนื้อเรื่องในภาคนี้ยังคงเข้มข้นกับเรื่องราวของโลกโคคูน โลกพัลส์ การต่อสู้ของกลุ่มผู้ถูกเลือกกับรัฐบาลสวรรค์ เนื้อเรื่องดราม่าซับซ้อน ส่วนการออกแบบตัวละครหลักทั้ง 6 ได้แก่ สาวขาลุย Lightning ,หนุ่มล่ำ Snow ,สาวน้อยVanille,พี่หัวฟู Sazh,หนุ่มน้อยหน้าใส Hope และสาวคมเข้ม Fang ก็ล้วนทำได้ดีมีเสน่ห์ดึงดูด และการเขียนบทในส่วนความสัมพันธ์ของตัวละครก็ทำได้ดีตามมาตรฐาน

จุดเด่นหนึ่งของซีรีย์ Final Fantasy คือกราฟิกที่สวยงาม ยิ่งภาคนี้ลงเครื่อง PS3 ที่ทรงพลังก็อดจะหวังไม่ได้ว่าจะทำได้สุดยอด และมันก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะทั้งกราฟิกในเกมที่สวยงามอลังการงานสร้าง ทั้งการออกแบบ แสงสี พื้นผิว และรองรับความละเอียดสูงสุดที่ 1080p โดยที่คัทซีนส่วนที่เป็น CG ก็มีคุณภาพสูงมาก การกำกับก็เยี่ยมยอด เมื่อทั้งหมดรวมกันแล้วส่งผลให้งานด้านภาพของภาคนี้สุดยอดมาก งดงามแบบไม่มีที่ติ แม้คัทซีนที่ไม่ใช่ CG จะมีเยอะไปหน่อยก็ตามแต่ก็ยังถือว่ามีคุณภาพ

ทางด้านดนตรีประกอบในเกมก็ประพันธ์ได้อย่างไพเราะและอลังการเหมือนเดิม โดยเฉพาะเพลงฉากต่อสู้ที่ส่วนตัวแล้วชอบมากที่สุด แถมยังเสริมด้วยดนตรีแนว ป๊อป,เทคโน , แจ๊ส , คันทรี่ ในบางช่วงบางจังหวะ ได้อย่างลงตัว แม้ดนตรีภาคนี้บางส่วนจะดูแปลกๆ แต่ต้องไม่ลืมว่าดนตรีมีหน้าที่ทั้งเป็นทั้งตัวนำ และตัวเสริม ไม่จำเป็นต้องอลังการตูมตามทุกฉาก หรือไม่ต้องมีธีมเก่าๆให้ระลึกถึง ซึ่งสำหรับเกมนี้มันก็ทำหน้าที่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์

จุดเด่นที่สำคัญมากคือ ระบบการเล่นที่ ในซีรีย์ Final Fantasy นั้นจะใช้ระบบการเล่นแบบ เทิร์นเบส RPG(ยกเว้นภาค11กับ12) แต่รูปแบบการเล่นเสริมหรือการตั้งค่าพลังจะ เปลี่ยนแปลงไปแทบทุกภาค และภาคนี้เกมยังคงเป็นเทิร์นเบสแบบเรียลไทม์ โดยมีการตัดเข้าฉากต่อสู้ที่รวดเร็วมาก มีการเห็นศัตรูบนแผนที่ไม่เป็นแบบสุ่ม และเราสามารถเลือกที่จะลอบโจมตีศัตรูเพื่อความได้เปรียบ โดยในภาคนี้เราสามารถบังคับตัวละครได้เพียงตัวเดียว และเลือกมาสู้ได้ทั้งหมด 3 ตัวโดยถ้า Leader ตายเกมจะโอเวอร์ทันที

ส่วนระบบการใส่คำสั่งผ่านจะใส่ผ่านแถบ ATB ที่จะแบ่งเป็นช่องๆ ที่ใส่ได้ทั้งการโจมตี คาถา ซึ่งถ้าจะใช้ท่าแรงๆก็ต้องเสียช่อง ATB มากขึ้น และต้องรอให้แถบเวลานานขึ้น ภาคนี้จึงไม่มีระบบ MP เพื่อใช้เวท แต่ก็มีบาง Ability ที่ต้องเสียค่าพลังที่เรียกว่า TP ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเมื่อต่อสู้เสร็จ และAuto Ability ที่จะใช้อัตโนมัติตามเงื่อนไข หรือสถานการณ์ ที่การใส่คำสั่งเพื่อโจมตีนั้นมีทั้งแบบอัตโนมัติ และใส่คำสั่งเอง โดยภาคนี้ HP จะกลับมาเต็มหลังการสู้ทุกครั้ง ส่วนเงินก็ไม่สามารถหาได้จากศัตรูโดยตรง ต้องเก็บตามหีบหรือเอาของที่ดร็อปไปขายเท่านั้น มุมกล้องในเกมก็ยังคงเป็นมุมมองบุคคลที่ 3 ที่ปรับเองได้โดยยังมีการจัดวางมุมกล้องที่ดูมึนๆในบางจุด แต่ก็เดินง่ายไม่หลงทางด้วยระบบMap ที่ออกแบบมาดีดูง่าย

โดยระบบภาค 13 ได้นำเสนอระบบสั่งการในฉากต่อสู้แบบใหม่ที่เรียกว่า “Optima” ที่จะเป็นการสั่งการต่อสู้ทั้งกลุ่ม โดยจะแบ่งตามสายต่างๆ ที่มีทั้งหมด 6 รูปแบบ คือ “Attacker” โจมตีทางกายภาพ “Blaster”ใช้เวทมนต์ และท่าที่เกี่ยวกับพลังเวท “Healer” เติมพลัง “Enhancer” เพิ่มค่าพลังฝ่ายเรา “Defender” เน้นการป้องกัน “jammer” ลดค่าพลังศัตรู และ Optima ในแต่ละชุดมีหน้าที่และความจำเป็นในการเล่นเท่ากันหมด ที่เราสามารถจัดรูปแบบได้อิสระตามความต้องการ โดยสามารถตั้งค่าตัวละครที่นำมาเล่นได้ทั้ง 3 ตัว และจัดได้ 6 ชุด การเปลี่ยน Optima นั้นจะทำได้ตลอดการต่อสู้โดยกดปุ่ม L1 และถ้าเปลี่ยนจะเปลี่ยนตามทั้งกลุ่มตามชุดที่เราตั้งค่าไว้ ซึ่งเมื่อเกมบังคับได้เพียงตัวเดียวรูปแบบนี้เหมือนการได้สั่งการทั้งกลุ่มอย่างง่ายดายและเป็นระบบที่ทรงประสิทธิภาพมาก

เพราะในฉากการต่อสู้ของภาคนี้มีรวดเร็ว ดุดัน เหมือนเกมแอ็คชั่น แถม ศัตรูและบอส ก็บ้าพลัง โจมตีแรงมากแถมยังอึดเหลือเชื่อ และมันสามารถจัดการเราให้ตายได้ในพริบตา โดยเราต้องทำให้ศัตรูเกิดอาการ Break จึงจะโจมตีเข้า แถมระยะเวลา Break ก็มีจำกัด พูดไปดูเหมือนภาคนี้จะยาก แต่ถ้าเราตั้งค่า Optima ให้ดีและปรับเปลี่ยนให้ตรงกับสถานการณ์ ก็จะสามารถผ่านไปได้ไม่ยากนัก ส่วนมนต์อสูรภาคนี้กลายมาเป็น เวทมนตร์ประจำตัวละคร และเมื่อเรียกออกมาจะออกมาช่วยเฉพาะผู้เรียก และมีค่าพลังที่ลดลงเรื่อยๆ อสูรของเรายังสามารถแปลงร่าง เพื่อให้เราขี่แล้วกดท่าพิเศษตามจังหวะที่กำหนดได้ โดยการใช้อสูรเราต้องเสียค่า TP มากจนทำให้เรียกได้ไม่บ่อยนัก แต่การได้มาของมนต์อสูร ต้องผ่านการต่อสู้กับมันตามเงื่อนไขคือให้มันเข้าสู่ driving modeโหมด ถึงจะได้มา

ตัวเกมไม่มีระบบเลเวล แต่ใช้การอัพค่าพลังผ่าน ระบบ “Crystallium” ที่มี 6 สายเหมือนกับสายของ Optima และใช้ค่า CP ที่ได้จากการสู้ศัตรูมาอัพค่า โดยเป็นการเดินสายเพื่ออัพค่าพลังต่างๆ คล้ายๆกับระบบ สเฟียร์บอร์ดของภาค 10 แต่ปรับเปลี่ยนให้ดูง่าย สวยงาม และลดความซับซ้อนในการเดินเพราะมีค่าการอัพแค่ไม่กี่อย่าง ที่เหลือเป็นท่า และคาถา รวมทั้งช่อง ATB ก็อัพได้ โดยจะมีสายประจำของตัวละคร แต่ก็สามารถเล่นข้ามสายได้เมื่อถึงเวลาแต่จะเสียค่าCP อัพ มากกว่าสายตนเอง โดย Crystallium มีทั้งหมด 10 เลเวล ซึ่งจะได้เลเวลใหม่มาต้องเล่นผ่านจุดที่เกมกำหนดเสียก่อน ส่วนการ ตีอาวุธ หรือ เครื่องประดับ ก็ทำได้ง่ายดาย เพียงแค่นำชิ้นส่วนในการอัพมาเพิ่มค่า EXP อาวุธมากจนเลเวลขึ้น เท่านั้น

โดยภาคนี้เกมจะถูกแบ่งออกเป็น Chapter รูปแบบการเล่นที่แทบจะเป็นเส้นตรงตลอดเกม หรือการที่ไม่มีดันเจี้ยนที่ซับซ้อน ไม่มีหมู่บ้านให้เดินสงบๆ และเราสามารถซื้อทุกอย่างในเกมได้ที่จุด Save ซึ่งเป็นความจริงว่าช่วงต้นๆไปจนถึงเกือบค่อนของเกมรูปแบบการเล่นจะเหมือนเกมแอ็คชั่นตะลุยด่านที่ขาดความซับซ้อนขาดอิสระในการเล่น ตัวละครก็เปลี่ยนตามใจไม่ได้ แต่เมื่อเข้าช่วงท้ายๆเกมจะมี map ขนาดใหญ่ให้เดินสำรวจ มีการรับภารกิจย่อยๆให้เล่นจำนวนมาก และพอจะกลับไปสถานที่เก่าๆได้บ้าง ดันเจี้ยนในช่วงท้ายเกมเองก็เริ่มซับซ้อนขึ้นแต่มันก็ไม่ต้องใช้ ความสามารถในการแก้ปริศนามากเพราะจะมีสัญลักษณ์บอกเลยว่าต้องไปทิศทางไหนตลอด หลายคนอ่านถึงตรงนี้อาจจะบอกว่ามันจะสนุกหรือเปล่า เพราะกว่าจะมีอะไรให้ทำก็ปาเข้าไปจะท้ายเกมแล้ว

แต่ก็ต้องบอกก่อนว่านิยามคำว่า RPG (เกมที่เล่นตามบทบาท) ที่ดีนั้นไม่มีตำราไหนบอกว่าต้องมีหมู่บ้านหรือดันเจี้ยนที่ซับซ้อน และ ต้องไม่ลืมว่าเสน่ห์ของเกม Final Fantasy อยู่ที่การคิดรูปแบบใหม่ๆตลอดในทุกภาค เชื่อว่าทาง Square Enix คงต้องการปฏิวัติรูปแบบของเกมRPG แบบเดิมๆที่ดูน่าเบื่อ ให้เป็นการท้าทายแบบเกมแอ็คชั่นมากขึ้น เพราะเราต้องเปลี่ยนค่า Optima กันแทบจะทุกวินาทีเมื่อเจอบอสโหดๆ และเรายังสามารถต้านหรือทำให้ศัตรูชะงักระหว่างโจมตีเราได้ด้วย ส่งผลให้เกมนี้เป็นเกม RPG ที่เน้นการต่อสู้มากกว่าแก้ปริศนา ปัญหาของเกมนี้จึงไม่ได้อยู่ที่การเล่นไม่ผ่านเพราะติดเนื้อเรื่อง แต่กลายเป็นจะทำอย่างไรถึงจะจัดการบอสในเกมได้ โดยเกมใช้เวลาประมาณ 45-50 ชม.ในการเล่นจบ ถือว่าเป็นปกติตามมาตรฐานเกม RPG

สรุปแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจจะมีคนไม่ชอบบ้าง แต่ถ้าเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ คุณจะพบกับเกม RPG ที่พัฒนารูปแบบของการต่อสู้ ให้มีความรวดเร็ว ท้าทายและมีลีลาการต่อสู้สวยงามไม่แพ้เกมแอ็คชั่นชั้นเยี่ยม ก็น่าจะทำให้คุณลืมข้อด้อยของตัวเกมที่ไม่มีฉากซับซ้อนไปได้บ้าง และสำหรับภาคนี้ถือว่าเป็นการพัฒนาระบบการต่อสู้ที่ถูกทาง และดีกว่าเกม JRPG หลายเกมที่ลงบนเครื่องเกมคอนโซลในยุคนี้ แม้จะขาดความซับซ้อนแต่ก็สดใหม่ สนุก เข้าใจง่าย เสียดายถ้าตอนต้นของเกมเพิ่มความซับซ้อนอีกนิด หรือช่วงท้ายเกมยาวกว่านี้อีกหน่อยเกมจะสมบูรณ์แบบกว่านี้ อย่างไรก็ตามมันก็ยังสนุกคุ้มค่าน่าเล่น และแม้จะผิดหวังในบางส่วน แต่ก็มีสิ่งที่เกินคาดหวังเช่นกัน ส่งผลให้เกมนี้ก็ยังคงคุ้มค่าน่าเล่น และยังคงเป็นเกมยอดเยี่ยมเกมหนึ่งอยู่ดี

ข้อดี : กราฟิกสวยงาม ระบบเกมที่ยอดเยี่ยม
ข้อเสีย : เกมเป็นเส้นตรงเกินไปในบางจุด
ข้อแนะนำ : ห้ามพลาด

เกมการเล่น10
กราฟิก10
เสียง10
ความคิดสร้างสรรค์9
ความคุ้มค่าRPG ที่สนุกเหมือนเกมแอคชั่น
ภาพรวม9.5


สุดท้ายนี้ขอให้ท่านมีความสุขในวันปีใหม่ที่จะถึงนี้ ปีหน้าอาจจะเห็นผลงานเขียนของผมน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามสัญญาว่าจะเขียนต่อไป และขอให้ทุกท่านเล่นเกมให้สนุก มีความสุขกับเกมที่รัก สวัสดีปีใหม่ 2553 ครับ

Darth.Vader (วงศกร ปฐมชัยวัฒน์)
ติดตาม twitter ผู้เขียนได้ที่ http://twitter.com/darthdome
สนับสนุน แผ่น Final Fantasy XIII โดย ร้านเกม 4 Player ชั้น 6 เซ็นทรัลปิ่นเกล้า
    (ใกล้โรงหนังชั้นบน โซนตู้เกม และคาราโอเกะ)
       โทร 02 -884-5545


















กำลังโหลดความคิดเห็น