“Alain Corre” กรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารที่ดูแลงานทั้งภาคพื้นยุโรป,ตะวันออกกลาง และเอเชีย แปซิฟิกของบริษัทยูบิซอฟต์ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเกมรายใหญ่จากฝรั่งเศส ได้ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ mcvuk.com ถึงทิศทางต่างๆในอนาคตของบริษัทเกมแห่งนี้ให้เราทราบกัน
เมื่อถูกถามถึงเกม “ไอ แอม อะไลฟ์” (I Am Alive) ที่ได้โชว์ตัวไปตอนท้ายงานแถลงข่าวช่วง E3 ที่ผ่านมาว่าให้ความสำคัญกับเกมนี้มากน้อยขนาดไหน Corre ตอบมาว่า พวกเขาเน้นเกมนี้มากทีเดียว และเห็นว่ามันจะถูกใจผู้เล่น ตามปกติแล้วยูบิซอฟต์จะค่อนข้างระมัดระวังในการสร้างแบรนด์เกมใหม่ๆออกมา พวกเขาทราบถึงความซับซ้อนในการพัฒนาแบรนด์เกมใหม่ตัวหนึ่งออกมา ว่าแบบไหนคนจะชอบและแบบไหนจะประสบความสำเร็จ พวกเขาคิดเรื่องโปรเจกต์ในอนาคตที่จะสร้างความพึงพอใจสำหรับคนจำนวนมาก โดยมันจะไม่ออกมามากนัก
Corre ขยายความต่ออีกว่า เกม I Am Alive จะมีการพัฒนาต่อเนื่องเป็นเกมภาคต่อไปแน่นอน โดยเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ตั้งแต่ในช่วงเริ่มต้น ดังนั้นมันจะดีกว่าเมื่อคุณสามารถโฆษณาและคาดคะเนเกมภาคใหม่ออกมาในปีถัดๆไป พวกเขาคาดหวังว่ามันจะเข้ามาเป็นอีกเกมเด่นในเครือ เหมือนอย่างเกม Prince Of Persia หรือ Rayman Rabbids
อย่างเกมในตระกูล Tom Clancy ยูบิซอฟต์ก็เพิ่งจะได้บริษัทสเปเชียล เอฟเอฟกต์มาอยู่ในมือ พวกเรามีแผนว่าในอีก 3,4 หรือ 5 ปีจะมีเกมในแบรนด์ Tom Clancy ออกมา และไม่เพียงจะมีแต่เกมเท่านั้น แต่ยังมีภาพยนตร์แอนิเมชัน CGI ,ทีวี ซีรีส์ หรืออะไรก็ตามที่พวกเขาคิดไว้ว่าจะเป็นอนาคตของบริษัทออกมาด้วย โดยจำเป็นต้องนับรวมผลงานในแบรนด์เดียวกันในต่างสื่อด้วยเพื่อทำกำไรและการตลาด อย่างหนัง CGI ได้เริ่มพัฒนาไปแล้วที่สตูดิโอของบริษัทในมอนทรีออล รับรองว่าทั้งตัวบทภาพยนตร์และงานกราฟิกไม่ธรรมดาแน่ๆ
mcvuk.com ถามย้ำว่าพวกคุณกำลังตามอย่างหนังแอนิเมชันเรื่องไฟนอล แฟนตาซีจากค่ายสแควร์ เอนิกซ์ และพวกคุณจะเป็นค่ายเกมรายที่สองที่นำเกมไปเป็นหนังด้วยตัวเองจากเกมตระกูล Tom Clancy อย่างนั้นเหรอ? Corre ตอบว่า พวกเขารู้สึกว่าทั้งหนังและเกมต่างก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์และเทคโนโลยี โลกมันกำลังใกล้กันและในวันหนึ่งมันจะผสมรวมกัน ทั้ง interactive หรือ non-interactive บริษัทเขามีการพัฒนาเทคโนโลยีแบบปีต่อปี พวกเขาเองก็ไม่ทราบบริษัทอื่นทั่วโลกจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า แต่สำหรับยูบิซอฟต์นั้นการพลิกกลับของสตูดิโอและเทคโนโลยีคือแนวทางข้างหน้าของเรา
อย่างเกม “End War” ที่ใช้เสียงพูดของผู้เล่นบังคับยูนิตในเกมนั้น Corre ถูกถามว่าเขาคิดอย่างไรกับเทคโนโลยีหนึ่งที่อาจจะได้รับการยอมรับทั้งยูบิซอฟต์และคู่แข่งของคุณ? Corre บอกว่า โดยทั่วไปแล้วยูบิซอฟต์จะพยายามพัฒนานวัตกรรมทั้งในส่วนเกมการเล่นและเทคโนโลยี และมันก็ชัดเจนมากในกรณีของเกม End War ที่พัฒนาขึ้นโดย “Michael De Platter” คนที่สร้างเกมแนววางแผน RTS เจ๋งๆมามากมายในอดีต เขาเป็นคนที่มากด้วยความสามารถ และเขาก็ทราบว่าตัวเขาเองอยากจะทำอะไร และเกมนี้ก็มีพื้นฐานมาจากสิ่งที่เขาทราบดี ซึ่งมันก็สร้างความไว้วางใจกับยูบิซอฟต์
Corre อธิบายต่อว่า เกมแนววางแผนบนเครื่องเกมคอนโซลนั้นสร้างปัญหายุ่งยากกับการใช้จอยเกม ดังนั้น เมื่อเราถูกถามว่า “พวกเราสามารถทำอะไรเพื่อช่วยเครื่องคอนโซลได้บ้าง?”พวกเราก็ต้องตอบว่าให้มันมีอินเตอร์เฟสง่ายๆ และพวกเราก็คิดว่าเสียงสามารถมาใช้ทดแทนได้
ต่อข้อซักถามที่ว่า ทำไมยูบิซอฟต์ถึงสนุกไปกับการให้อิสระในความคิดสร้างสรรค์เมื่อเทียบกับค่ายเกมอื่น? Corre ชี้แจงว่า ตัวเขาไม่สามารถพูดเปรียบเทียบกับคู่แข่งได้หรอก แต่เห็นได้ชัดว่าความสำเร็จของยูบิซอฟต์สร้างขึ้นมาจากความคิดสร้างสรรค์,การพยายามนำสิ่งใหม่ๆเข้ามา,ความรู้สึกสดใหม่ตลอดเวลา และการลองเสี่ยงที่จะทำ โดยเกม Assassin’s Creed ถือเป็นการเสี่ยงครั้งใหญ่เกมหนึ่งสำหรับเรา อย่างพวกฉากสภาพแวดล้อมและความอิสระในเกมการเล่น มันก็คล้ายๆ End War จุดแข็งของเราในวันนี้ก็ความสามารถในการสร้างแบรนด์และต่อยอดมันออกไป นี่คือตัวตนของยูบิซอฟต์ มันอยู่ใน DNA ของพวกเขา
“พวกเรามีการคำนวณความเสี่ยง เพราะพวกเราโชคดีที่สามารถวางใจกับเกมตระกูลเด่นๆได้ พวกเราสามารถทราบได้ถึงจำนวนเกมเมอร์ที่เป็นแฟนเกม ดังนั้นจึงอนุญาตให้เราเปลี่ยนแปลงกับเกมตระกูลที่กำลังจะออกมาได้ มันมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำเราไว้ใจ”
ผู้บริหารคนสำคัญของยูบิซอฟต์บอกถึงเป้าหมายของยูบิซอฟต์ว่า เป็นการสร้าง 3 แบรนด์เกมในทุกๆ 2 ปี ซึ่งมันก็เข้าท่าดี พวกเขาสามารถทำได้และก็ต้องการเก็บเป้าอันนี้เอาไว้ พร้อมบอกต่อว่า พวกเขาสามารถลองเสี่ยงได้มากขึ้น แต่การจะทำได้มากก็ขึ้นกับว่ามีแบรนด์ที่แข็งขนาดไหน มันมีหลายโมเดลที่แตกต่างกันให้เลือก แต่สำหรับพวกเขาแล้วมันปรากฏให้เห็นได้ชัดแล้ว
ข้อมูลจาก..
www.mcvuk.com