หลังจากรอคอยมานาน ในที่สุด "เมทัล เกียร์ โซลิด 4:กันส์ ออฟ เดอะ เพเทรียตส์" (Metal Gear Solid 4: Guns of the Patriots) METAL GEAR SOLID 4 เกมฟอร์มยักษ์แห่งปีและหนึ่งในความหวังของ PS3 ก็ได้ออกมาวาดลวดลายเกมแนวสายลับกันเสียที และแน่นอนว่าความคาดหวังที่แฟนๆมีไว้กับเกมนี้นั้นมากมายมหาศาล เพราะมีแฟนๆรอเล่นอยู่มากมาย กระแสเกมนี้รุนแรงขนาดคนที่ไม่ได้เป็นแฟนตัวจริงของเกมซีรีส์นี้เท่าไรนัก เช่นตัวผู้เขียนเองยังอดตื่นเต้นกับการมาของเกมนี้ไม่ได้ พร้อมกับความคาดหวังว่าเกมจะสนุกมากๆเช่นกัน
เกมเปิดตัวด้วยภาพสงครามกลางเมืองแถบตะวันออกกลางสเนคในวัยชราภาพกำลังบุกตะลุยไปในดงสงครามนั้นค่อนข้างสร้างความประทับใจด้วยกราฟิกที่สวยงามตระการตาสมราคาคุย ด้วยแสงสีฝุ่นควันบวกรายละเอียดของด่านที่สมจริง ช่วยสร้างเสริมบรรยากาศเหมือนดึงเราเข้าสู่สงครามได้อย่างสมบูรณ์ สมกับประสิทธิภาพของเครื่อง PS3 และที่น่าชมเชยก็คือการผสานการเล่นกับฉากคัตซีนได้อย่างลงตัวจนแทบไม่มีรอยต่อ ยิ่งเมื่อเล่นไปเรื่อยๆจะพบกับความยอดเยี่ยมของมูฟวี่ คัตซีนคุณภาพสูงมากเกือบตลอดทั้งเกม จนอาจจะเรียกได้ว่า เราจะได้ดูคัตซีนมากกว่าเล่นเกมเสียอีก แม้จะมีช่วงที่บรรยายที่ดูน่าเบื่ออยู่บ้าง แต่สำหรับส่วนของดราม่าที่เรียกน้ำตาได้ และแอ็คชันที่น่าตื่นตา รวมกันเป็นความสุดยอดเทียบเท่าหนังฮอลลีวู้ดดีๆเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว จนอดคิดไม่ได้ว่า “ฮิเดโอะ โคจิมะ” ผู้สร้างเกมนี้น่าจะไปกำกับหนังด้วย...น่าจะรุ่ง
ส่วนที่ดีของคัตซีนก็คือการปรับเปลี่ยนมุมมองในฉากได้ และการกดปุ่มเพื่อย้อนรำลึกความหลังจากภาพเหตุการณ์เก่าๆจากภาคก่อนๆ พร้อมทั้งมีพวกมินิเกมระลึกถึงเกมภาคเก่าๆกันด้วย นอกจากนี้การให้เราบังคับ Metal Gear MK II ในฉากอธิบายภารกิจ ช่วยให้การดูคัตซีนไม่น่าเบื่อเท่าไร แถมด้วยมุขตลกที่มีทั้งแซว ทั้งกัด โดยเฉพาะแฟนเกมที่ติดตามมานาน รับประกันได้ฮาก๊าก...ออกมาดังๆกันแน่นอน แต่สำหรับคนที่ไม่เคยติดตามซีรีส์นี้มาเลยอาจจะงง และไม่เข้าใจในเนื้อหาเท่าไรนัก
อีกหนึ่งลูกเล่นที่น่าชมเชย อย่างการเล่าเรื่องพร้อมๆกันโดยแบ่งเป็น 2 หน้าจอ ที่ไม่ค่อยได้เห็นในวงการเกมนัก ส่วนบอสที่โคจิมะใส่ใจในการออกแบบมาตลอดทุกภาค มาภาคนี้ได้ใช้นางแบบสาวสวยหุ่นดีมาเป็นต้นแบบจนกลายเป็น “Beauty and the Beast” สี่บอสที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและน่าจดจำ (โดยเฉพาะหนุ่มๆ) ที่แม้ตอนสู้จะไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่จากภาคก่อนๆมากนัก
หลายคนอาจแปลกใจที่ตัวเกมได้ตัด Tutorial หรือโหมดสอนการเล่นเกมออกไป คงเพราะโคจิมะสร้างด่านเปิดเรื่องที่เหมือนทำมาให้ศึกษาการเล่นก่อน และสำหรับภาคนี้มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงสิ่งต่างๆในเกมให้เข้าถึงง่ายขึ้น เพราะตามปกติแล้วเกมแนวสายลับที่ต้องคอยหลบซ่อนนั้นมีข้อจำกัดในการเล่นสูง เรียกว่าทำอะไรต้องระมัดระวังตัว ทำให้เกมแนวนี้มีแฟนประจำเฉพาะกลุ่มมากกว่า คราวนี้โคจิมะจึงได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ตัวเกมมีอิสระในการเล่นมากขึ้น ฉากกว้างขึ้นและมีความหลากหลายมากขึ้นกว่าเกมในแนวหลบหลีก เราสามารถเลือกเส้นทางได้มากขึ้นจะบู๊แหลกก็ได้ หรือจะเลือกที่จะหลบหลีกก็ได้เช่นกัน แต่ก็มีบางด่านที่คุณต้องคอยหลบหลีกเหมือนเดิม โดยมีระบบเลือกที่จะช่วยทหารแล้วจะได้รับความช่วยเหลือกลับ แต่ในกรณีที่เลือกโหมด Hard ความอิสระจะถูกจำกัดขึ้นด้วยความยากของเกม โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ลงตัวโดยไม่ทำลายความคลาสสิกของเกมตระกูลเมทัล เกียร์ แต่อย่างไร
มุมกล้องในเกมจะเป็นมุมมองบุคคลที่สามที่ดูง่ายไม่สับสน และสามารถปรับเปลี่ยนเป็น มุมมองบุคคลที่ 1 เพื่อการเล็งยิงที่แม่นยำได้อย่างรวดเร็ว การกดปุ่มถูกปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับแนวเกมที่เปลี่ยนให้มีการลุยมากขึ้น ด่านถูกแบ่งเป็นทั้งหมด 5 ACT โดยในแต่ละด่านมีความแตกต่างกันทั้งภูมิประเทศ และรูปแบบการเล่น การใส่ฉากไล่ล่าบนรถเข้าไปแม้จะดูไม่ได้แปลกใหม่อะไรแต่เกมนี้ทำได้ดีเยี่ยม ยิ่งฉากการสู้กันของเมทัล เกียร์ที่อลังการงานสร้าง ส่วนไอเทมใหม่ๆเช่น ชุดพรางตัว Octocamo ที่เปลี่ยนสีตามสภาพแวดล้อม , Solid Eye ที่ทำได้ทั้งซูมดูข้อมูลต่างๆ นอกจากนี้ ยังเป็นเป็นเรดาห์ และกล้องส่องกลางคืน และ METAL GEAR MK II หุ่นตัวจิ๋วที่ใช้สอดแนม โดยรวมแล้วถือเป็นการพัฒนามาจากไอเทมเก่าๆมาอัปเกรดได้กลมกล่อม กำลังดี แถมใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก
ระบบที่เพิ่มมาในภาคนี้คือ การซื้อ ,ปรับแต่งและปลดล็อกอาวุธด้วยค่า Drebin Point โดยใช้แลกกับพ่อค้าอาวุธ Drebin พร้อมลิงสุดป่วน ที่มีอาวุธสารพัดให้เลือก (แต่ใช้จริงๆไม่กี่อย่างหรอก)นั้นอำนวยความสะดวกให้กับผู้เล่น แต่ก็ทำให้เกมง่ายเกินไปในบางครั้ง
ด้าน METAL GEAR ONLINE โหมดที่แถมมาเพื่อสร้างความสนุกกันเป็นหมู่คณะผ่านออนไลน์ ผู้เล่นต้องสมัคร Konami ID และ สร้าง Game ID เสียก่อน โดยมีการทำภารกิจ และการเล่นเป็นทีม โดยแบ่งออกเป็น Deathmatch , Team Deathmatch, Capture Mission, Rescue Mission และ Sneaking Mission โหมดนี้จะแบ่งเป็น 2 ฝ่ายเพื่อไล่จับสเนค (โดยมีการเล่นเป็น สเนค และ MKII ) และ Base Mission มีฉากให้เล่นในเบื้องต้น 5 ด่าน เล่นออนไลน์ได้มากถึง 16 คน
ในส่วนของระบบเสียง ทั้งดนตรีกับซาวด์ประกอบ ดูโดดเด่นและมีคุณภาพสูงมาก เพราะไม่ได้มีแค่เสียงดังเพียงอย่างเดียว ยังมีมิติความคมชัด ที่แม้ผู้เขียนจะไม่มีเครื่องเสียงดีๆ ยังสัมผัสถึงความยอดเยี่ยมได้ เพลงประกอบก็ทำได้เข้ากับบรรยากาศของเกมทั้งตื่นเต้น หรือซาบซึ้ง และเมื่อเสียงมาผสานกับความสุดยอดของภาพจึงทำให้เกมนี้โดดเด่นเหนือเกมอื่นๆอย่างชัดเจน โดยมีการนำธีมเก่าๆมารีมิกซ์ใหม่ด้วย ข้อเสียอาจมีเพียงข้อเดียวนั้นก็คือ ตัวเกมที่ได้เล่นจริงๆนั้นค่อนข้างสั้นมาก โดนเฉพาะบางด่านที่แทบไม่ได้เล่นเท่าไรแต่ใช้คัตซีนเกมทั้งหมด โดยรวมนั้นสั้นเกินไป ส่งผลให้เรายังไม่ทันอิ่มเอิบกับความยอดเยี่ยมของเกมก็จบเสียแล้ว อย่างไรก็ตามก็ยังคุ้มค่าด้วยการเล่นซ้ำได้หลายรอบ ด้วยรูปแบบการเล่นที่คุณสามารถเลือกได้ไม่ซ้ำกัน หรือจะเพิ่มความท้าทายขึ้นด้วยการเลือกเล่นเกมในระดับความยากที่มากขึ้น และความลับหรือสิ่งที่ปลดล็อกได้ในเกมมีมากมายมหาศาล รับประกันว่าคุ้มค่าราคาแผ่นแท้แน่นอน
สรุปแล้วสำหรับสงครามครั้งสุดท้ายของ “สเนค” ครั้งนี้ แฟนๆคงซื้อ PS3 เอาไว้รอและเล่นจบไปเรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับคนที่ยังลังเลว่าจะซื้อเครื่อง PS3 เพื่อเกมนี้จะคุ้มหรือไม่ คำตอบคงขึ้นอยู่กับคุณเอง สำหรับผู้เขียนเองต้องขอคาราวะ “โคจิมะ”จากใจ ที่เกมนี้ที่ทำให้ความรู้สึกของการเล่นเกมข้ามวันข้ามคืนแบบที่ไม่ได้ทำมานานกลับมาอีกครั้ง เพราะตัวเกมนั้นเรียกได้ว่าสุดยอดในทุกๆด่าน เมื่อได้สัมผัสแล้วยากที่จะหยุดเล่น และเป็นเกมแนวสายลับหลบหลีกที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างมา ทั้งรูปแบบการเล่นผสานกับเนื้อเรื่องที่เข้มข้น และใส่ใจในทุกๆรายละเอียด ส่วนจุดจบของสเนคจะเป็นอย่างไร คุณต้องพิสูจน์ในสุดยอดเกมแห่งปีเกมนี้ก็แล้วกัน
เกมการเล่น | 10 |
กราฟิก | 10 |
เสียง | 10 |
ความคิดสร้างสรรค์ | 10 |
ความคุ้มค่า | สุดยอดเกมแห่งปี |
ภาพรวม | 10 |
วงศกร ปฐมชัยวัฒน์ (Darth.vader)
ขอบคุณร้าน Gcorners
www.gcorners.com