Resident Evil หรือในชื่อภาคญี่ปุ่นว่า Biohazard ถือว่าเป็นเกมสยองขวัญไล่ยิงซอมบี้ เกมแรกๆที่ปลุกกระแสเกมแนวนี้จน ทุกวันนี้มีเกมที่เดินตามรอย Resident Evil อยู่มากจนนับไม่ถ้วน เนื้อหาหลักว่าด้วย การทดลองทางชีวะภาพ และเชื้อ “ที ไวรัส” ของบริษัทอัมเบรลล่า ที่ส่งผลให้คนกลายเป็นซอมบี้ แต่หลังจากภาค 3 ชื่อของอัมเบรลล่าได้ห่างหายไปจากซีรีส์ จนทำให้แฟนๆต่างสงสัยว่า อัมเบรลล่านั้นหายไปไหนหรือล่มสลายได้อย่างไร เหมือนที่แคปคอมทิ้งเป็นปริศนาไว้เพื่อออกมาเป็นเกมในชื่อภาค The Umbrella Chronicles เพื่อที่จะหากิน เฮ้ยไม่ใช่..! เพื่อตอบทุกข้อสงสัยของเปล่าบรรดาสาวก
ในตอนแรกที่เปิดตัว แรกเห็นคนจะคิดว่าเกมนี้ก็คือ “เฮาส์ ออฟ เดอะ เด็ธ” เวอร์ชั่นของ แคปคอม หรือแนวกันชูตติ้ง ทั่วๆไปที่มีกันดาษดื่น แต่เมื่อได้สัมผัสเกมนั้นทำออกมาได้แตกต่างกว่าเกมอื่นๆ เช่นสามารถควบคุมมุมกล้องให้หันขึ้นลงซ้ายขวาได้เล็กน้อย แต่ไม่สามารถบังคับตัวละครให้เดินได้เหมือนภาค Gun Survivor ระบบอาวุธที่มีมากกว่าที่สามารถอัปเกรดได้ และอัปเกรดได้มากจนหลังๆกลายเป็นปืนเทพไปเลย โดยการอัปเกรดใช้ดาวที่ได้จากการผ่านด่านและทำได้ “Rank” ดีๆมาอัปเกรดปืน
ตัวเกมนั้นไม่ลื่นไหลเหมือน “เฮาส์ ออฟ เดอะ เดด” แถมตัวเกมเล็ง “จุดตาย” ของศัตรูได้ยาก และต้องแม่นจริงๆ ทำให้ตัวเกมมีความยากในการเล่นมากกว่า ส่วนปืนพกที่แม้จะยิงได้ไม่จำกัด โดยไม่ต้องกลัวกระสุนจะหมดก็จริง แต่ก็เบาจนแทบไร้พลัง จนบางครั้งต้องพึ่งปืนอื่นที่กระสุนจำกัด และหลายครั้งที่ต้องใช้ปืนให้ถูกชนิด ถูกจังหวะ ถึงจะผ่านไปได้ไม่ยาก ดังนั้นจึงต้องเป็นเกมที่มีการวางแผนการเล่นซึ่งเป็นส่วนหลักๆที่ทำให้เกมนี้แตกต่างอย่างชัดเจนกว่าเกมอื่น และการจูงใจให้กลับไปเล่นซ้ำด่านเดิมเพื่อทำ Rank ดีๆเพื่อเอาดาวมาอัปเกรดปืน และปลดล็อก ด่านลับ ทำให้เกมน่าสนใจมากขึ้น
ในด้านการควบคุมบังคับ แน่นอนว่าเมื่อมาลงเครื่องที่มีจอยที่เหมาะกับการเล็งและยิงอย่าง วีรีโมต การเล็งยิงจึงทำได้ง่ายดาย แค่ชี้เป้าไปที่หน้าจอ แล้วกด B ส่วนการกด A เพื่อเก็บของ ส่วนการรีโหลดกระสุนให้การสะบัดจอยลง และเปลี่ยนปืนโดยกดปุ่ม C ควบคุมมุมกล้องโดยใช้แกนแอนาล็อก กด A ค้างไว้แล้วกด B จะปาระเบิด และที่ขาดไม่ได้คือ “มีด” ที่กด A ค้างไว้แล้วสะบัดวี รีโมตให้เหมือนการฟัน ที่หลายครั้งจะทำให้คุณเมื่อยมือพอสมควร แต่ถ้ากลัวเมื่อยกลัวยากก็ชวนเพื่อนมาเล่นด้วยได้ โดยเกมนี้ใช้เกจพลังร่วมกันแม้ว่าจะเล่น 2 คนก็ตาม และในเกมยังมีการกดปุ่มหรือสะบัดข้อมือตามจังหวะเพื่อหลบ การโจมตีเหมือนกับภาค 4 แถมใช้บ่อยจนแทบตามไม่ทันถ้าผู้เล่นมัวแต่เหม่ออยู่
โดยเนื้อเรื่องหลักของภาคนี้เป็นการ ย้อนเวลาไปยังภาคเก่าๆ โดยต้องเล่นเพื่อปลดล็อกภาคอื่นๆมา โดยเริ่มจากภาค 0 , 1, 3 และด่านสุดท้ายคือการบุกตะลุยฐานลับของอัมเบรลล่า โดยจะมีเนื้อเรื่องพิเศษเสริมในทุกภาค โดยเฉพาะเรื่องของ “เวสเกอร์” ตัวร้ายของเรื่อง ที่เป็นปริศนามาตลอดว่าเขารอดชีวิตไปได้อย่างไร แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น ก็จะได้รับคำตอบในภาคนี้ ส่วนกราฟิก นั้นแม้จะดูธรรมดาไปสักหน่อย แต่ในถือว่าสร้างบรรยากาศได้เป็นอย่างดี เพลงประกอบก็ทำหน้าที่เสริมเติมเต็มได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เพียงแต่มันไม่มีอะไรโดดเด่นให้น่าจดจำเท่าไรนัก
ส่วนจุดเด่นของเกม ที่ว่าด้วยการล่มสลายของอัมเบรลล่าที่แฟนๆกระหายอยากรู้นั้นก็แทบไม่มีอะไรมาก เนื้อเรื่องที่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้ แถมมีการยืมเรื่องราวและไอเดียจากภาพยนตร์ Resident Evil หรือผีชีวะไปใช้ในเกมด้วย ส่วนจะเป็นอย่างไรคงต้องไปเล่นเอง ส่วนข้อเสียของเกมคือการสู้บอสที่มีรูปแบบซ้ำๆมากไปสักหน่อย คงเพราะเวลาสู้บอสที่นานกว่าเกมแนวเดียวกัน จนในบางครั้งจะดูน่าเบื่อไปบ้าง อีกจุดคงเป็นการรีโหลดกระสุนที่ต้องสะบัดข้อมือกันแรงไปหน่อย พอเวลาเล่นนานๆอาจจะเมื่อยบ้าง (คิดดูกว่าจะจบคุณต้องรีโหลดกี่ครั้ง) ที่แม้จะมีระบบรีโหลดแบบออโต้ก็เถอะ
สรุปแล้วใครเป็นแฟน Resident Evil ต้องไม่พลาดเพราะเกมนี้เปรียบเสมือน “จิ๊กซอว์ เติมเต็มส่วนที่ขาดหายในซีรีส์นี้” แต่คนที่เป็นแฟนเกมในแนวกันชูตติ้งแบบ “เฮาส์ ออฟ เดอะ เดด นั้นเกมนี้คงไม่ใช่คำตอบ เพราะตัวเกมเน้นการเล่นแบบเรื่อยๆ ต้องมีการวางแผน มีการนั่งเก็บดาวเพื่ออัปเกรดปืน และการปลดล็อกด่านลับ จึงมีอะไรมากกว่าจะเป็นแนว บู๊ล้างผลาญ หรือเกมแนว ยิงแหลก ที่แม้เป็นเพียงภาคเสริม และไม่มีอะไรโดดเด่นมากนัก แต่ยังพอมีอะไรให้พูดถึงบ้าง และอย่างน้อยก็ สนุกกว่าภาค Gun Survivor หลายเท่า ถือว่าเอาไว้เล่นฆ่าเวลาให้หายคิดถึงระหว่างรอ Resident Evil 5 ที่ลง Xbox360 และ PS3 ที่จะออกในปีหน้าได้เป็นอย่างดี
| เกมการเล่น | 8 |
| กราฟิก | 8 |
| เสียง | 8 |
| ความคิดสร้างสรรค์ | 8 |
| ความคุ้มค่า | สำหรับสาวก คุ้มแน่นอน |
| ภาพรวม | 8 |
วงศกร ปฐมชัยวัฒน์ (Darth.vader)
