xs
xsm
sm
md
lg

เปิดตำนาน"ซูเปอร์มาริโอ"จากท่อประปาสู่ห้วงอวกาศ ตอน2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตอนที่ 2 ยุคทองของมาริโอ
สู่ยุค 16 บิต

หลังจากโลดแล่นบนเครื่อง 8 บิตมา 3 ภาค ก็ได้เวลาที่มาริโอจะอัปเกรดสู่ยุคเครื่อง 16 บิตเสียที ในปี 1990 นินเทนโดเปิดตัวเครื่อง “ซูเปอร์แฟมิคอม” เครื่องคอนโซลเครื่องที่ 2 ของนินเทนโด และแน่นอนเกมเปิดตัวก็ต้องเป็นหน้าที่ของ “ลุงหนวด” อีกครั้งใน “ซูเปอร์ มาริโอ เวิลด์” คราวนี้มาในมาดอัศวินขี่มังกรน้อยน่ารักอย่าง “โยชิ” ที่มาพร้อมกระเพาะเหล็กและกินได้เกือบทุกอย่าง ควงคู่กันออกปราบปรามเจ้าคุปป้าอีกครั้ง ด้วยระบบแผนที่ของมาริโอ 3 ที่ถูกพัฒนาให้มีมิติมากขึ้นและสามารถเข้าด่านเดิมซ้ำเพื่อแก้ปริศนาเพิ่มเติมในด่านได้


ดังนั้น มันย่อมส่งผลให้มีเส้นทางที่หลากหลายมากขึ้น พร้อมทั้งการแก้ปริศนาในบ้านผีสิง และเส้นทางลับมากมาย รวมทั้งเหล่าบรรดาลูกๆของคุปป้าที่มาคราวนี้ไม่ได้จัดการกันง่ายๆ ทั้งการบินแบบนินจาที่พัฒนารูปแบบขึ้น แม้ว่าจะเทียบความสนุกกับ “มาริโอ 3” ไม่ได้ แต่ก็เป็นมาริโอภาคที่มีอะไรให้น่าจดจำอยู่เหมือนกัน และทำยอดขายไปมากกว่า 20 ล้านก๊อปปี๊

ค่อนข้างเป็นที่น่าเสียดายว่า หลังจาก “ซูเปอร์ มาริโอ เวิลด์” ลุงหนวดของเราก็ปรากฏตัวให้แฟนๆให้ชื่นชมในภาคหลัก แค่เครื่องละภาคเท่านั้น แต่ซูเปอร์ มาริโอ เวิลด์ได้มีการต่อยอดมาเป็นเกม “Yoshi's Island” ในปี 1995 และ “Yoshi's Story”(n64)ในปี 1997 และล่าสุด “Yoshi's Island DS”ในปี2006

สู่สนามโกคาร์ต

ในปี 1992 มาริโอได้สร้างความแปลกใจให้กับแฟนๆ ด้วยการโดดลงสู่สนามแข่งรถโกคาร์ตในชื่อ “ซูเปอร์ มาริโอ คาร์ต” ที่มาพร้อมกับเหล่าผองเพื่อนแบบขนกันมาครบทีม พร้อมกับบรรยากาศของอาณาจักรเห็ดมาเป็นฉากหลัง และที่ขาดไม่ได้ก็คือไอเทมประจำเกมตระกูลมาริโอ อาทิ เห็ด ,กระดองเต่า และดาวไว้ทั้งช่วยเหลือหรือไว้แกล้งกัน ที่ทำให้เกม “ซูเปอร์ มาริโอ คาร์ต” แตกต่างจากเกมรถแข่งทั่วไป และเป็นเอกลักษณ์ให้เกมอื่นเอาไปเลียนแบบอีกหลายเกม

นอกจากโหมดแข่งรถแล้ว ยังมีโหมด Battle โดยต้องแข่งกันยิงลูกโป่งของคู่แข่งให้หมด ที่ทั้งมันทั้งฮา ยิ่งถ้าได้เล่นกับเพื่อนๆ รับประกันความสนุกจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า “มาริโอ คาร์ต” จึงเป็นหนึ่งในเกมที่ยอดนิยมเล่นตามร้านเกมหรือเล่นในงานปาร์ตี้ในยุคนั้น ดังนั้นการมาสู่สนามแข่งในครั้งนี้ มาริโอก็พาเกมให้ลอยลำจนยอดขายทะลุ 8 ล้านก๊อปปี๊ไปได้ทั้งๆที่ไม่ใช่ซีรีส์หลัก และมีภาคต่อมาอีกถึง 4 ภาค แถมด้วยภาคเกมตู้อีก 2 ภาค ทุกภาคล้วนประสบความสำเร็จและเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่มีประจำการณ์บนเครื่องของนินเทนโดทุกเครื่อง ส่งผลให้ยอดขายอยู่ในอันดับต้นๆของเครื่องนั้นเสมอ

การรวมตัวกันของ 2 ยอดฝีมือ

ต่อมาในปี 1996 เกิดปรากฎการณ์ครั้งใหญ่ในวงการเกม เมื่อบิดาแห่งมาริโอ “ชิเงรุ มิยาโมโตะ” กับบิดาแห่งไฟนอล แฟนตาซี “ฮิโรโนบุ ซากางุจิ” จับมือกันสร้างเกม RPG ที่มีชื่อว่า “ซูเปอร์ มาริโอ อาร์ พี จี” ที่เป็นการหลอมรวมความสนุกในแบบเกมแอ็กชันของมาริโอกับระบบเกมภาษาที่ยอดเยี่ยมของไฟนอล แฟนตาซี รวมเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ด้วยมุมมองแบบมุมเฉียง ที่ดูง่าย และระบบแผนที่ของมาริโอที่แบ่งเป็นเวิลด์และแอเรียเป็นเอกลักษณ์ แต่จุดเด่นจริงๆของเกมอยู่ที่ความเกมแอ็กชันของมาริโอที่มีอยู่ในเกมทั้งใช้ในการแก้ปริศนาในดันเจี้ยน และฉากต่อสู้ ที่ใช้การกดปุ่มให้เข้าจังหวะในรูปแบบต่างๆที่สนุกและเข้ากับระบบของเกม RPG ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ส่วนเนื้อเรื่องก็มีความสดและแปลกใหม่เพราะ นี่คือครั้งแรกในการร่วมมือกันระหว่าง มาริโอและคุปป้า เพื่อต่อสู้กับศัตรูที่ร้ายกาจกว่า ในด้านกราฟิกก็เป็นโพลิกอนในยุคแรกๆที่สวยงาม และลื่นไหล และจากจุดเริ่มต้นที่ประสบความสำเร็จ ทำให้เกมแตกหน่อมาเป็นเกมอีก 2 ตระกูล คือ Mario & Luigi กับ Paper Mario ที่ออกภาคต่อมาอีกหลายภาค

ในยุคซูเปอร์แฟมิคอม แม้จะมีมาริโอภาคหลักเพียงแค่ภาคเดียว แต่ได้แตกออกมาเป็นภาคย่อยหรือภาคเสริม ทั้งแนวกีฬาและเกมภาษา จึงนับเป็นยุคทองของมาริโอ และนินเทนโดอีกครั้ง ส่งผลให้ซูเปอร์แฟมิคอมสานต่อความสำเร็จจากแฟมิคอมจนได้เป็นแชมป์เครื่องเกมคอนโซลสมัยที่สอง

จุดเปลี่ยนแห่งวงการเกม

หลังจากจูบปากกับสแควร์ ทำเกม “ซูเปอร์ มาริโอ อาร์ พี จี” จนใครๆต่างก็คิดว่า ค่ายเกมทั้ง 2 นี้คงเหมือนปลาท่องโก๋ที่ขาดกันไม่ได้ในวงการเกม จนกระทั้งนินเทนโดได้ประกาศโครงการ เครื่องเกมยุคต่อไปของตน นั้นก็คือเครื่อง อัลตร้า64 (ชื่อแรกของเครื่องนินเทนโด 64 ) ที่เน้นไปที่การสร้างภาพ 3 มิติ และยังคงใช้ตลับเกมเหมือนเดิม ในตอนแรกทางสแควร์เองก็ได้สร้างเดโม “ไฟนอล แฟนตาซี 6” ในรูปแบบ 3 มิติสำหรับเครื่องอัลตร้า64 เพื่อเป็นต้นแบบของไฟนอลภาคต่อไปบนเครื่องของปู่นิน แต่แล้วจุดเปลี่ยนของวงการเกมก็เกิดขึ้น

การมาของ “โซนี่” ที่ถือว่าเป็นยักษ์ใหญ่ทุนหนาแห่งวงการเครื่องใช้ไฟฟ้าได้โดดเข้าสู่วงการเกมด้วยเครื่อง “เพลย์สเตชัน” ที่มาพร้อมกับสื่อที่ใช้ต้นทุนต่ำกว่าอย่าง “CD-Rom” รวมทั้งรูปแบบของเกมในยุคนั้น ที่เน้นมูฟวี่หรือโชว์ CG กันมากกว่าการสนใจที่รูปแบบการเล่น เป็นจุดดึงดูดให้ค่ายเกมแทบทุกค่าย หนีไปทำเกมให้โซนี่ ไม่เว้นแม้กระทั้ง “สแควร์” ที่ขนกันไปยกค่าย แถมด้วยการเปิดตัวเกมในตำนานอย่าง “ไฟนอล แฟนตาซี 7” บนเครื่อง “เพลย์สเตชัน” ทำให้การมาของเครื่องเกมยุคถัดไป และมาริโอดูเหมือนเป็นการเดินทางที่ยากลำบากกว่าครั้งเดิม

ในตอนหน้าเรามาดูกันว่า ยุค 3 มิติ มาริโอของเราจะกระโดดโลดเต้นได้เหมือนเดิมหรือไม่ ในยุคที่คนสนใจที่จะดูภาพมูฟวี่มากกว่าสนใจความสนุกของตัวเกม

By...วงศกร ปฐมชัยวัฒน์ ( Darth.vader )



ปิดตำนาน "ซูเปอร์มาริโอ" จากท่อประปาสู่ห้วงอวกาศ (ตอน1)
เปิดตำนาน"ซูเปอร์มาริโอ"จากท่อประปาสู่ห้วงอวกาศ((ตอนจบ))
กำลังโหลดความคิดเห็น