xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนตำนาน Diablo

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


---คลิกชมวีดีโอ Diablo II ได้ที่นี่---
ดูวีดีโอประกอบจาก Manager Multimedia

เป็นเวลานานแล้วที่วงการเกม Action-RPG ช่างเต็มไปด้วยความซบเซา หลังจากที่ปีนี้ได้มีเกม Action-RPG เกมใหม่อย่าง Titan Quest ออกมาก็ทำให้วงการนี้ดูมีสีสันขึ้นมาบ้าง ก็เลยคิดว่านับเป็นโอกาสอันดีที่เราน่าจะลองย้อนไปดูสุดยอดตำนานอย่าง Diablo ว่ามีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร

Diablo เป็นเกมที่พัฒนาโดย Blizzard North ออกจำหน่ายในปี 1996 เป็น Action role-playing game ซึ่งรองรับการเล่นแบบคนเดียวและหลายคน โดยลงทั้ง Microsoft Windows, Mac และ Sony PlayStation นอกจากจะเล่นในโหมดธรรมดาแล้วยังสามารถเล่นแบบผู้เล่นหลายคนทางอินเทอร์เน็ตโดยผ่าน Battle.net

เป็นเกมที่เป็นลักษณะของ hack and slash ที่มีการควบคุมโดยใช้เมาส์และคีย์บอร์ด ที่เรียกว่าแบบ point-and-click โดยการลากเมาส์ไปที่ตัวศัตรูและก็ทำการคลิกเมาส์เพื่อโจมตี จุดมุ่งหมายหลักของเกมคือการทำลายล้างเหล่าปีศาจที่ถูกเรียกมาโดย Diablo เจ้าแห่งความสยดสยอง ซึ่งอยู่ใน 16 ชั้นใต้ดินของเมืองเล็กที่ชื่อว่า Tristram และในท้ายที่สุดก็คือการเด็ดหัวของ Diablo ซะ

Diablo เป็นเกมที่เล่นได้หลายรอบด้วยบลักษณะพิเศษคือการสุ่มแผนที่ การสุ่มตำแหน่งและที่อยู่ของศัตรู และการสุ่มไอเท็มต่างที่ได้ในแต่ละครั้งทำให้การเล่นในแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน

เรามารู้จักกับ Tristram หรือ The town of Tristram กัน Tristram เป็นที่ๆซึ่งผู้เล่นออกรวบรวมข้อมูลข่าวสาร เควสต่างๆ ซื้อขายไอเท็ม หรือรับการรักษาต่างๆ เรียกได้ว่ากินนอนกันอยู่แถวๆนั้นก็ได้เพราะเราต้องขึ้นๆลงๆ ระหว่าง Tristram กันชั้นใต้ดินอยู่ตลอดเวลา และ Tristram ก็ถูกลดบทบาทลงใน Diablo II เพราะเราเข้าไปที่ Tristram เพียงสั้นๆเท่านั้นและก็ออกไปผจญภัยตามสถานที่ต่างๆรอบเมืองซะมากกว่า

สำหรับตัวละครคลาสต่างๆใน Diablo จะมีอยู่ด้วยกัน3ตัวละครให้เลือกคือ Warrior ซึ่งถนัดด้านการโจมตีด้วยอาวุระยะประชิด Rogue ซึ่งถนัดโจมตีจากระยะไกลด้วยธนู และยังสามารถใช้เวทมนตร์ได้ดีกว่า Warrior และยังทำลายกับดักต่างๆได้ Sorcerer จะเป็นพวกที่ถนัดการใช้เวทมนตร์ และไม่เหมือนคลาสต่างๆในเกมสมัยใหม่ ซึ่ง Diablo ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของศักยภาพของคลาสต่างๆ เพราะ Warrior ก็สามารถที่จะใช้เวทมนตร์ได้ และ Sorcerer ก็ใช้ธนูได้

แรกเริ่มเดิมทีนั้น Diablo ได้แรงบันดาลใจมาจาก Moria และก็ Angband โดยลักษณะหลายๆอย่างจะเป็นเหมือนกับที่เรียกกันว่า roguelike games

Moria นั้นเป็นลักษณะของ roguelike games รุ่นโบราณโดยยึดเนื้อเรื่องจาก The Lord of the Rings ซึ่งผู้เล่นต้องลงไปยังเหมือง Moria ผ่านเขาวงกตที่สลับซับซ้อน และจัดการกับ Balrog ซึ่งเวอร์ชั่นแรกๆถูกสร้างโดย Robert Alan Koeneke ที่ University of Oklahoma

Angband นั้นเป็นลักษณะของเกมลุยดันเจี้ยนโดยเอาเนื้อเรื่องมาจากนิยายของ J. R. R. Tolkien เวอร์ชั่นแรกถูกสร้างโดย Alex Cutler และ Andy Astrand ที่ University of Warwick ในปี 1990 ลักษณะโดยรวมของทั้งเกมจะเป็นการใช้สัญลักษณ์ตัวอักษรต่างๆแทนค่ากราฟิกโดยที่เรารับบทเป็น Angband กองกำลังป้องกัน Morgoth และเข้าตะลุยในดันเจี้ยนทั้งหมด 100 ชั้น และเขาหรือเธอจะต้องสะสมอาวุธและพลังเพื่อจัดการกับ Morgoth และที่ฉากต่างๆก็จะมีการสุ่มใหม่ทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนฉาก ทำให้การเล่นมีความท้าทายอยู่เสมอ

roguelike games นั้นก็คือลักษณะของเกมที่ได้แบบหรือเอาแบบมาจากเกม Rogue ของปี 1980 ครับ โดยที่จะมีลักษณะของการใช้ ตัวอักษรแบบพื้นๆหรือตัวอักษร ASCII เพื่อสร้างดันเจี้ยนแบบสองมิติ ซึ่งในภายหลังนักสร้างเกมส่วนใหญ่ก็นิยมในไปเป็นแบบอย่าง

Diablo มีภาคเสริมออกมาในปี 1997 ชื่อว่า Diablo Hellfire โดย Sierra Entertainment ซึ่งเพิ่มอีกสองดันเจี้ยนกับเนื้อเรื่องพิเศษและไอเท็มเพิ่มเติมต่างๆ กับตัวละครใหม่อีก 1 ก็คือ Monk ซึ่งอาจจะเรียกกันได้ว่าเป็นตัวละครที่ยังไม่ผ่านการทดสอบดีก็ว่าได้ เป็นภาคเสริมที่แทบจะไม่มีใครกล่าวถึง เต็มไปด้วยบั๊ก และที่แปลกคือ มี Patch ออกมาเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น และก็ถ้าเปลี่ยนเป็น Diablo Hellfire แล้วจะไม่สามารถที่จะ Patch โดยใช้ Patch ของ Blizzard ได้ซึ่งแปลกมากๆ

The legendary Cow Level จะกล่าวถึงตำนานของสิ่งทีไม่ค่อยปกติในเกม Diablo เป็นเรื่องที่เล่ากันในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับฉากลับ ซึ่งเต็มไปด้วยอาวุธชั้นดี และศัตรูที่อันตราย และมีหัวหน้าที่แข็งแกร่งกว่า Diablo ซะอีก วิธีการไปยังที่แห่งนั้นมีการเล่าต่อๆกันมาไม่แน่นอน แต่มีวิธีหนึ่งที่ได้ยินมากก็คือการคลิกที่ตัวของวัวใน Tristram เป็นจำนวนมากกว่า 50 ครั้งติดๆกัน ฉากนี้จึงถูกเรียกกันว่า "Cow Level"

มันเป็นเรื่องที่เพี้ยนดีแท้ เพราะเวลาที่เราคลิกที่วัวมันก็แค่ร้องออกมาเท่านั้น และมันก็ไม่ใช่วิสัยที่ฮีโร่อย่างเราจะกระทำกัน นานๆไปเรื่องเล่ายิ่งเพี้ยนกันไปใหญ่เมื่อมีคนเล่าว่าที่จริงแล้วสัตว์ประหลาดในฉากนี้จะเป็นพวกวัวบ้า และเรื่องเล่าอื่นยิ่งเพี้ยนเข้าไปอีกเช่นสัตว์ประหลาดในฉากนี้จะมีกระดิ่งรอบคอ ตัวสีขาว และโจมตีด้วยการฉีดสเปรย์นม และหัวหน้าของฉากนี้ก็คือ Cow King ซึ่งแข็งแกร่งกว่า Diablo ซะด้วย

ในที่สุด Cow level ก็เป็นแค่เรื่องเล่าตลกๆ หรือภาพที่มีการตัดต่อใหม่ทำให้เรื่องนี้ดังเป็นเวลาหลายปี จนทีมพัฒนาของ Blizzard ได้รับอีเมล์ที่พูดถึง "how do I get to the cow level"เป็นเวลานาน จึงได้นำไปเป็นสูตรโกงในเกม StarCraft โดยพิมพ์ว่า "there is no cow level"แล้วจะชนะในฉากนั้นทันที และในภาคเสริม Diablo Hellfire ก็มีการล้อเรื่องเล่านี้ โดยวิธีการไปยังฉากใหม่ที่เพิ่มเข้ามา เราจะต้องไปคุยกับชายที่ใส่ชุดวัว

และเพื่อเป็นการบริการแฟนเกมทั้งหลายที่อยากจะสัมผัสกับ cow level ทาง Blizzard จึงได้นำมันไปใส่ไว้ใน Diablo II ซึ่งจะเป็นสถานที่กว้างๆ และเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดที่ซื่อ "Hell Bovines" ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับวัวที่เดินตรงๆได้ และก็ถือขวาน และเสียงร้องก็เป็นเสียงร้อง "moo." ซึ่งบันทึกจากเสียงของพนักงานในบริษัท Blizzard และก็ไม่มีการปรากฏตัวของหัวหน้าอย่าง Cow King ด้วย มีแต่เพียง Hell Bovine ตัวพิเศษเท่านั้น

เมื่อเร็วนี้ หลังจากที่ Cow level ถูกจับได้ว่าเป็นเรื่องโกหก cow level จึงเป็นเรื่องตลกที่โผล่ขึ้นมาเป็นครั้งคราว เช่นในเกม World of Warcraft มีการเล่าลือถึงวิธีการเข้าไปเล่นในฉาก cow level โดยผ่าน Mulgore ในเมือง Tauren ซึ่งป็นสิ่งที่มีรูปร่างเหมือนวัว จึงได้มีการใส่คำแนะนำใหม่ลงไปในตอนโหลดเกมว่า "TIP: There is no cow level" หรืออย่างเรื่องเล่าเรื่องการใช้คำว่า /chicken พิมพ์เพื่อแสดงความรู้สึกบ่อยๆก็อาจจะทำให้เข้าไปสู่ cow level ได้

เล็กๆน้อยๆ
-ใน StarCraft ยูนิตฝ่าย Protoss คือ Arbiter และก็ Observer ใช้คำทักทายของ Adria คือ "I sense a soul in search of answers"
-ใน StarCraft อีกเช่นกัน observer จะวิทยุคำพูดของ Griswold ซึ่งเขาจะกระตือรืนร้นมากๆเกี่ยวกับ เห็ดขนาดใหญ่
-ใน Warcraft III the Frozen Throne ถ้าเราคลิกที่ตัว Illidan บ่อยๆ เขาจะพูดออกมาว่า "Wings, horns, hoofs... what are we saying, is this Diablo?"
-ใน Diablo II อาวุธที่ชื่อว่า Wirt's Leg ซึ่งใช้เปิด Secret Cow Level เป็นไอเท็มของคนชายวัยรุ่นคนหนึ่งที่ชื่อ Wirt ซึ่งเสียขาข้างหนึ่งให้สัตว์ประหลาดไปและใส่ขาเทียมแทน
-ใน Warcraft III the Frozen Throne ยูนิตศัตรูที่ชื่อว่า Butcher จะพูดคำทักทายเหมือนกับในเกม Diablo ว่า "Ahhh, fresh meat!" เมื่อมันถูกฆ่ามันจะทิ้งสิ่งที่เรียกว่า "Wirt's Other Leg" ออกมา
-จะมีไอเท็มชิ้นหนึ่งในเกมออนไลน์ World of Warcraft ซึ่งมันมีชื่อว่า “Wirt's Third Leg”
-ใน Diablo II วีรบุรุษ canon ผู้ซึ่งสังหาร Diablo ใน Tristram น่าจะเป็น Warrior ซึ่งก็คือ wanderer ผู้ที่ถูกสิงโดย Lord of Terror จากรูปร่างแล้วเขาไม่ใช่ Rogue และผิวเขาก็ ซีดกว่า Sorcerer และในไตเติ้ลเขายังถือดาบของ Warrior ด้วย
-Blood Raven จาก act 1 ใน Diablo II น่าจะเป็นคนเดียวกันกับ Rogue ในเกม Diablo เพราะ Akara และ Charsi เล่าว่า Blood Raven คือ หัวหน้าของrogue ใน Tristram ซึ่งต่อสู้กับ Diablo แล้วเธอได้เปลี่ยนไปด้วยอำนาจชักจูงจากปีศาจในเวลาอันสั้นหลังจากการมาถึงของ Andariel แล้ว Blood Raven ก็เริ่มเรียกคนตายขึ้นมา
-The Summoner ในนักเวทมนตร์ชั่วใน act2 ของ Diablo II น่าจะเป็น Sorcerer ในเกม Diablo เพราะ Jerhyn และ Drognan พูดถึง Vizjerei ผู้ที่อาศัยอยู่ที่ Lut Gholein (สามารถสันนิษฐานโดยการค้นหาโบสถ์ของ Horazon) ผู้ซึ่งต่อสู้กับ Diablo ใน Tristram เป็นไปได้ว่าจะทำให้เขากลายมาเป็น The Summoner ซึ่งถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าเขามีผิวสีคล้ำเหมือนกับ Sorcerer ในเกม Diablo
-ตอนไตเติ้ลของเกม Diablo จะมีเสียงหัวเราะของปีศาจ ถ้าทิ้งไว้นานๆ จะมีเสียงคนร้องก่อนตายด้วย

สำหรับใครที่ยังอยากจะหาเกม Diablo มาเล่นเพื่อย้อนรอยอดีตหรือรำลึกความหลังก็ยังหามาเล่นกันได้ ส่วนนักเล่นใหม่ๆที่อยากจะลองก็ขอบอกก่อนนะว่าคงต้องทำใจกับกราฟิกพอสมควร เสียดายที่ Blizzard ไม่ได้สนใจที่จะทำภาคต่อ หรือถ้าไม่ทำภาคต่อก็น่าจะเอามาทำใหม่ให้ดูทันสมัย เหมือนกับที่หลายๆเกมในสมัยนี้นิยมทำกันก็น่าจะดี

คลิกอ่านตอนที่ 2 ได้ที่นี่
ย้อนตำนาน Diablo II ตอนปิดฉากตำนานอันแสนยาวนาน

ข้อมูลจาก
Wikipedia the free encyclopedia

เกี่ยวกับ Moria
http://beej.us/moria/

http://www.minesofmorgoth.com/
http://roguelike-palm.sourceforge.net/kMoria/

เกี่ยวกับ Angband
http://www.thangorodrim.net/
http://angband.oook.cz/
http://www.dravensdungeon.com/Penance/
http://www.phial.com/angband/










Angband
Rogue
กำลังโหลดความคิดเห็น