หลังจากเราย้อนรอยตำนานนิยายชีวิตของ “นินเทนโด” ในยุคแรก หากมองแบบผิวเผิน ทุกคนจะพบว่าปู่นินไม่ได้มีสิ่งใดๆเชื่อมโยงโดยตรงกับวีดีโอเกมที่กลายมาเป็นผลิตภัณฑ์หลักในปัจจุบันเลยสักนิด เนื่องด้วยเทคโนโลยีอันจำกัดในอดีต แต่ถ้ามองให้ลึก “การ์ดเกม” นั่นแหละคือเกมชนิดหนึ่ง เพียงแต่ขาดจอทีวีแสดงผลภาพเท่านั้น
เมื่อมาถึงยุคที่ 2 เรื่องราวของนินเทนโดถูกจัดอยู่ในช่วง “ของเล่นและเกมตู้” เนื่องมาจากนินเทนโดเริ่มผลิตของเล่นและตู้เกมอาร์เคด พวกเขาเดินหน้าจับมือกับทาง “มิตซุบิชิ อิเล็กทริกส์” จำหน่ายเครื่องเล่นเกมแรกของตัวเองที่ญี่ปุ่นในชื่อ “คัลเลอร์ ทีวี เกม 6” ตามมาด้วย “คัลเลอร์ ทีวี เกม 15” และก็ได้ตัวบุคลากรคนสำคัญอย่าง “ชิเงรุ มิยาโมโตะ” เข้ามาร่วมงาน โดยผลิตเกม “ดองกี้ คอง” และ “มาริโอ” ขึ้นมา พร้อมๆกับการเริ่มพัฒนาเครื่องเล่นเกมใหม่ที่ชื่อ “ฟามิคอม” หรือหลายคนออกเสียงว่า “แฟมมิคอม” นั่นเอง
“คัลเลอร์ ทีวี เกม 6” (Color TV Game 6) เป็นเครื่องเกมตัวแรกจากนินเทนโดบนระบบทีวี 4 สี ออกเมื่อปี 2520 ตัวโปรเซสเซอร์พัฒนาโดยบริษัทมิตซุบิชิ มีเกม "Light Tennis" (Pong) ให้เล่น 6 อย่างแตกต่างกัน ส่วนปุ่มกดมีอยู่ 2ปุ่มให้หมุน เล่นได้ 2 คนในเวลาเดียวกัน กลายเป็นเครื่องเกมที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในญี่ปุ่น จนขายได้มากกว่า 1 ล้านเครื่อง ต่อมาออกในปี 2521 ก็พัฒนามาเป็น “คัลเลอร์ ทีวี เกม 15” (Color TV Game 15) เล่นได้หลากหลายขึ้นเป็น 15 รูปแบบ ปุ่มบังคับเริ่มมีสายต่อออกมาจากตัวเครื่องเพื่อความสะดวกในการเล่นมากขึ้น ซึ่งเครื่องนี้ก็ขายดีเกินล้านเครื่องเช่นกัน
ยุคของเล่นและเกมตู้
(2512 -2525)
-2512-ขยายตัวและก่อตั้งแผนกเกม
นินเทนโดเริ่มให้ความสนใจเรื่องเกม โดยก่อตั้งแผนกเกมขึ้นมาในบริษัท โดยใช้คำง่ายๆว่า "Games" และเป็นครั้งแรกที่มีแผนกวิจัยและพัฒนาเกม ซึ่งออฟฟิศถูกสร้างขึ้นใหม่เพื่อผลิตเกมออกมาใน “ยูจิ ซิตี้” ชานเมืองของเกียวโต สินค้าตัวแรกมีชื่อว่า “Rabbit Coaster”
-2513-กุนเพ สร้าง “อัลตร้าแฮนด์”
นินเทนโดส่งของเล่นสำหรับเด็กออกมาในตลาดชื่อว่า “บีม กัน” (Beam Guns) ต่อจากนั้น “กุนเป โยโคอิ” พนักงานแห่งตำนานอีกคนของนินเทนโดได้เข้ามาร่วมงาน โดยเขาได้รับคำสั่งให้ทำอะไรเจ๋งๆออกมาเพื่อวางขายในช่วงคริสต์มาส จนในที่สุดเขาก็คิดค้นของเล่นที่สร้างชื่อให้กับนินเทนโดในชื่อ “อัลตร้าแฮนด์” (Ultrahand) ซึ่งขายไปอย่างถล่มทลาย 1.2 ล้านชุด (ราคาอันละ 800 เยน)และในปีนี้เองนินเทนโดได้นำเอาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่อุตสาหกรรมของเล่นญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก
“กุนเป โยโคอิ” เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเครื่องเล่นเกมดังๆ Game&Watch ,Game Boy และ Virtual Boy (ที่เป็นแค่โปรเจคในฝัน) นอกจากนี้ยังมีส่วนร่วมในการสร้างเกม “Metroid” ทั้งนี้ กุนเปเติบโตในกรุงเกียวโต จบการศึกษาทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ พ่อของเขาเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทยา
-2514 ถึง 2515- กุนเป และมาซายุกิ เดินหน้าสร้างของเล่นสุดเจ๋ง
หลังจากที่นินเทนโดประสบความสำเร็จจาก “อัลตร้าแฮนด์” กุนเพได้สร้างเครื่องขว้างลูกเบสบอลสำหรับครอบครัวในชื่อ “อัลตร้า แมชชีน” (Ultra Machine) ตามมาด้วยกล้องเปอริสโคปขนาดเล็กที่ชื่อ “อัลตร้า สโคป” (Ultra Scope) สิ่งประดิษฐ์ตัวถัดมาชื่อว่า “เลิฟเทสเตอร์” (Lovetester) ซึ่งได้รับความนิยมอีกเช่นเดียวกันในญี่ปุ่น หลักในการเล่น คือ มือข้างหนึ่งระหว่างชาย-หญิงจะจับกัน ส่วนอีกมือของทั้งคู่จะจับที่ปลายสายเครื่องตรวจจับ จากนั้นเครื่องก็จะบ่งบอกว่าทั้งคู่รักกันมากขนาดไหน (ความจริงตัวเครื่องจะอ่านผ่านเครื่องวัดทั้ง 2 อัน โดยที่ทั้งคู่ไม่ต้องแสดงความรักต่อกันหรือความรู้สึกหวานชื่นต่อกันใดๆก็ได้)
หลังจากนั้น กุนเปก็ได้ “มาซายุกิ อุเอะมุระ” จากบริษัทชาร์ปมาร่วมงาน พวกเขาเริ่มพัฒนา “นินเทนโด บีม กัน” (Nintendo Beam Gun) โดยใช้แผ่นโซลาร์ เซลล์ของชาร์ปมาเป็นวัสดุ พวกเขาเริ่มทดลองด้วยแผ่นโซลาร์ เซลล์ขนาดเล็กมาเป็นตัวเซ็นเซอร์จับแสงที่มาจากปืนยิงลำแสง โดย“นินเทนโด บีม กัน” ที่ออกมาขายจะประกอบไปด้วยเป้าที่ติดแผ่นโซลาร์ เซลล์และปืนยิงแสง ซึ่งสามารถขายได้มากกว่า 1 ล้านชุด (ราคาอยู่ระหว่าง 4,000- 5,000 เยน )
การเติบโตอย่างรวดเร็วของผลิตภัณฑ์ของเล่น ทำให้นินเทนโดจำต้องขยับขยายกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการด้วยการหาอาคารหลังใหม่มาใช้ต่อจากตึกสำนักใหญ่ที่ใช้อยู่ เมื่อสำนักงานหลังใหม่ถูกสร้างขึ้น อาคารหลังเก่าก็เอาไว้ใช้อนุรักษ์การ์ดเกมฮานาฟุดะ เนื่องจากนินเทนโดเริ่มที่จะขายการ์ดเกมได้ยากขึ้น ตึกใหม่หลังนี้ทั้งใหญ่กว่า ทันสมัย และมีระบบรักษาความปลอดภัยสูงกว่า
-2516-ยิงเป้าบินแบบเลเซอร์
โยโคอิแนะนำให้ฮิโรชิ ยามาอุจิทราบถึงเทคนิคในการใช้ “บีม กัน เกมส์” ในแนวทางอื่นๆได้ โดยโยโคอิคิดจะใช้ปืนไรเฟิลมาใช้ในลักษณะของการยิงเป้าบิน ซึ่งในขณะนั้นกีฬายิงเป้าบินค่อนข้างจะได้รับความนิยมในญี่ปุ่น เขาจึงบอกกับยามาอุจิว่าระบบปืนยิงแสงนั้นสามารถนำมาใช้ยิงเป้าบินที่เป็นนกพิราบได้แบบเหมือนจริง เมื่อยามาอุจิได้ยินไอเดียนี้จึงคิดจะสานต่อความคิดออกมาในรูปแบบธุรกิจขึ้นมาแทนการโยนโบว์ลิงที่เคยฮิตในปี 2503 ซึ่งตอนช่วงนั้นค่อยๆโรยลาลงไป โยโคอิ และ อุเอะมุระ จึงเริ่มต้นทำงานกับโปรเจกต์นี้ แต่ก็มีปัญหาทางเทคนิคเล็กน้อย จากนั้น “เก็นโย ทาเคดะ” ก็เข้ามาเป็นพนักงานคนใหม่เพื่อช่วยเหลือโปรเจคนี้ให้ลุล่วงไปได้ จน “The Laser Clay Shooting System” กลายมาเป็นความบันเทิงยามค่ำคืนตัวใหม่ในญี่ปุ่น
-2517-"Wild Gunman" กลายเป็นสินค้าส่งออกมาแรง
"Wild Gunman" เป็นเกมตู้ที่ให้ผู้เล่นชักปืนขึ้นมาดวลกับคาวบอยตะวันตกบนจอภาพขนาด 16 มิลลิเมตร เจ้าตัวนี้จึงถูกส่งออกไปขายทั้งในยุโรปและอเมริกา เนื่องช่วงนั้นประเทศญี่ปุ่นประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน คนญี่ปุ่นจึงจำกัดจำเขียดในการใช้สอย นับว่าเป็นช่วงที่นินเทนโดเริ่มตันที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ออกมา
-2518-ยามาอุจิเปลี่ยนนินเทนโดไปสู่อนาคต
วันหนึ่งยามาอุจิได้ไปรับประทานอาหารค่ำกับเพื่อนเก่าตอนเด็ก ซึ่งเพื่อนคนนี้เป็นหนึ่งในฝ่ายบริหารของบริษัทยักษ์ใหญ่เกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์แห่งหนึ่งในญี่ปุ่น พูดคุยกันในเรื่องการทำไมโครโปรเซสเซอร์ที่ใช้ในคอมพิวเตอร์และสินค้าทางด้านบันเทิงต่างๆ หลังจากนั้นยามาอุจิจึงเริ่มสืบเสาะถึงกระบวนการในการทำในอเมริกา ก็พบว่ามีบริษัท Atari & Magnavox ขายเครื่องที่ต่อกับทีวีแล้วสามารถจะเล่นเกมง่ายๆได้
ยามาอุจิจึงเจรจาของซื้อลิขสิทธิ์ในการผลิตและจำหน่ายเครื่องเกมของ Magnavox ในญี่ปุ่นที่ชื่อ “Odyssey” เครื่องเกมตัวดังกล่าวถือเป็นเครื่องเกมคอนโซลที่ใช้ในบ้านเครื่องแรก ที่ออกแบบโดย Ralph Baer ในเวลานั้นเองนินเทนโดไม่มีเครื่องผลิตหรือความรู้ในการพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ที่ใช้ในเครื่องเกม ดังนั้น “มาซายุกิ อุเอะมุระ” จึงแนะนำให้ฮิโรชิหาพันธมิตรที่เป็นบริษัทอิเล็กทรอนิกส์มาช่วย จากนั้นนินเทนโดจึงร่วมมือกับบริษัท “มิตซุบิชิ อิเล็กทริกส์” พัฒนาระบบวิดีโอเกมใหม่ของตัวเองขึ้น โดยใช้ EVR หรือ Electronic Video Recording จนออกมาเป็นเครื่องที่ชื่อ “คัลเลอร์ ทีวี เกม 6” (Color TV Game 6) ออกมาขายในปี 2520
-2520- นินเทนโดเข้าสู่อุตสาหกรรมเกม “ชิเงรุ มิยาโมโตะ” ย่างกรายสู่นินเทนโด
นินเทนโดพาตัวเองเข้าสู่อุตสาหกรรมเกมด้วยเครื่องเล่นเกมตัวแรก “คัลเลอร์ ทีวี เกม 6”ซึ่งมีมิตซุบิชิร่วมงานด้วย มีเกม "Light Tennis" ให้เล่น 6 รูปแบบแตกต่างกัน งานนี้นินเทนโดประสบความสำเร็จในด้านการยอดขายในหลักล้าน ขณะเดียวกัน “ชิเงรุ มิยาโมโตะ” บุคคลากรอันทรงคุณค่าของนินเทนโดและของโลกในปัจจุบันได้ตั้งต้นชีวิตการทำงานที่นินเทนโด ในตำแหน่งนักออกแบบเกมที่สร้างอาร์ตเวิร์คสำหรับเกมตู้
-2521 ถึง 2522- “คัลเลอร์ ทีวี เกม 15” เครื่องเกมตัวที่ 2 ออกตามมา
หลังจากที่ “คัลเลอร์ ทีวี เกม 6” ประสบความสำเร็จ นินเทนโดจึงออกเครื่องเกมตัวต่อมาก็คือ “คัลเลอร์ ทีวี เกม 15” (Color TV Game 15) ตามมาติดๆด้วย “Color TV Racing 112” เป็นเครื่องเล่นเกมที่มีพวกมาลัยและเกียร์ติดอยู่กับตัวเครื่องเพื่อใช้เล่นเกมขับรถในมุมมองภาพแบบ birds-eye-view โดยเกมจะมีหลายๆโหมดและความยากให้เลือกเล่น
ขณะนั้นเองในแวดวงเครื่องคิดเลข อิเล็กทรอนิกส์กำลังบูมแบบสุดๆ ตัวเครื่องทั้งถูกและเล็กลงเรื่อยๆ “กุนเป โยโคอิ” นักคิดจากนินเทนโดจึงพยายายามหาหนทางที่จะทำอะไรบางสิ่งให้เล็ก บางและเบา เขาจึงใช้ชิ้นส่วนอุปกรณ์จากชาร์ปมาสร้างเครื่องเกมขนาดเล็กออกมาจนเป็นสิ่งที่เรารู้จักกันว่า “เกมกด” หรือ Game & Watch เป็นเครื่องเกมพกพาที่มีขนาดเท่าๆกับเครื่องคิดเลข ใช้ถ่านนาฬิกาเพียงก้อนเดียว
ในเดือนมีนาคม ปี 2521 นินเทนโดได้ออกผลิตภัณฑ์เกมตั้งโต๊ะที่ชื่อ “คอมพิวเตอร์ โอเทโล่” (Computer Othello)ออกมาด้วย ซึ่งมีพื้นฐานมาจากเกมโอเทโล่นั่นเอง เป็นเกมที่มีสีเขียวเพิ่มเข้ามา นอกจากสีดำและขาวที่เป็นพื้นฐาน ไม่มีจอยสติ๊ก แต่มีปุ่มให้ผู้เล่นใช้คนละ 10 ปุ่มที่เครื่อง
นอกจากนี้ ในปี 2522 “มิโนรุ อารากาวา” ลูกเขยของยามาอุจิได้เปิดบริษัทนินเทนโด อเมริกาในกรุงนิวยอร์ก และเริ่มต้นระบบเกมหยอดเหรียญขึ้นมา
-2523- เปิดขายเกมกด-ผลิตเกมตู้ครั้งแรก-ดองกี้ คองกำเนิด
ปีนี้ถือเป็นปีแรกของที่ “เกมกด” หรือ Game&Watch จากฝีมือ “กุนเป โยโคอิ” ออกวางจำหน่าย เป็นเครื่องเกมพกพาที่มีหน้าจอ LCD ซึ่งมีทั้งเกมให้เล่นและนาฬิกาปลุก งานนี้เกิดกระแสคลั่งเกมกดกันยกใหญ่ แต่นินเทนโดก็ประสบปัญหาทำให้สูญเสียรายได้หลายล้าน เนื่องจากบริษัทอื่นๆในเอชียได้พัฒนาเกมออกมาโดยปราศจากการอนุญาตจากนินเทนโด ขณะเดียวกันในยุโรปและอเมริกานินเทนโดก็รับเละจากเกมกด อย่างในสแกนดิเนเวีย เกมกดระหว่าง 82-83 เกมถูกขายไปถึง 1.6 ล้านชุดเลยทีเดียว
ด้านตลาดเกมตู้ ยามาอุจิมีความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเจริญเติบโตในตลาดเกมตู้ ดังนั้น เขาจึงบอกกับวิศวกรบางคนในบริษัทให้เริ่มพัฒนาเกมตู้ใหม่ๆออกมาอย่างจริงจัง มีเกมตู้ใหม่ออกมา อาทิ Hellfire,Sky Skipper และ Sheriff ซึ่งเป็นเกมแนวยิงสำหรับผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ ภารกิจของคุณคือ การฆ่า ยิง และทำลายทุกสิ่งและทุกคนที่ขวางหน้า จนเมื่อเกมตู้ “Radarscope” ออกมาซึ่ง “ชิเงรุ มิยาโมโตะ” จึงได้รับมอบหมายจากยามาอุจิให้ปรับปรุงแก้ไขเกมนี้ให้ดีขึ้น แต่มิยาโมโตะกลับหันไปออกแบบเกมใหม่ขึ้นมาแทน นั่นก็คือ “ดองกี้ คอง” โดยใช้ฮาร์ดแวร์เดิมของเกม Radarscope ที่ทำออกมาแล้ว 3,000 ตู้ เปลี่ยนให้เป็นเกม “ดองกี้ คอง” ไปราว 2,000 ตู้ เมื่อปรับเปลี่ยนมาเป็นเกมใหม่เรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าดองกี้ คองได้สร้างความสำเร็จให้กับนินเทนโดในอเมริกาอย่างท่วมท้นจนสร้างชื่อเสียงให้กับนินเทนโดในตลาดเกมต่างแดน
งานนี้พนักงานในนินเทนโดเองต่างก็ไม่อยากจะเชื่อว่า “ดองกี้ คอง” จะดังได้ถึงขนาดนี้ เป็นเกมแรกที่ฝ่ายตรงข้ามกับฮีโร่จะดูเป็นเหมือนฮีโร่ไป ด้วยเนื้อเรื่องที่ดูแปลกๆไปสักนิด เมื่อช่างไม้ตัวอ้วนต้องช่วยเหลือเพื่อนสาว (Pauline) จากลิงยักษ์ที่เขาเลี้ยงไว้จับตัว สาเหตุก็เนื่องจากต้องการจะแก้แค้นเจ้าของที่ละเลยการเอาใจใส่ ทั้งนี้ นับว่าเป็นตู้เกมที่ขายดีที่สุดและทำเงินให้ได้มากที่สุดในปีนั้น ขายได้ในอเมริกาอย่างเดียว 65,000 ชุด มากกว่าเกม Street Fighter 2 เสียอีก
ตู้เกมชุดแรกของ “ดองกี้ คอง” จะมีสีแดง ส่วนรุ่นถัดๆมาจะมีสีฟ้าใส เดิมทีมาริโอเป็นช่างไม้ ไม่ใช่ช่างประปา แต่ต่อมาก็กลายมาเป็นอย่างเต็มตัวใน “Mario Bros.” ส่วน Pauline แฟนสาวของมาริโอ ในเกมเวอร์ชั่นญี่ปุ่นเดิม เธอชื่อ “เลดี้” โดยชื่อของเธอถูกเปลี่ยนเมื่อนินเทนโดออกเกมในเวอร์ชั่น Famicom
ในเวลาเดียวกันนั้น ฮิโรชิ ยามาอุจิ ,มาซายุกิ อุเอะมุระ และทีมวิศวกรได้วางแผนที่จะพัฒนาเครื่องเล่นเกมคอนโซลขึ้นมาใหม่ที่ก้าวหน้ามากกว่าเครื่องคัลเลอร์ ทีวี เกม โดยเครื่องใหม่ที่คิดนี้จะสามารถเล่นได้หลากหลายจากตลับเกมที่จะถูกวางขายตามมาเรื่อยๆ แต่ทว่าในเวลานั้นนินเทนโดก็ไม่ใช่บริษัทแรกที่มีแนวคิดเช่นนี้ เนื่องจากมีหลายๆบริษัทคิดทำด้วยเหมือนกัน อาทิ Atari, Commodore, Bandai, Takara และ Sharp โดยยามาอุจิบอกกับอุเอะมุระว่าจะต้องทำเครื่องให้เจ๋งกว่าทุกๆบริษัท แล้วก็ต้องมีราคาถูก เพื่อให้ทุกๆคนสามารถซื้อได้ ราคาจึงถูกตั้งไว้ที่ 9,800 เยน(ราว 3 พันบาท) หรือ 75 เหรียญสหรัฐ เครื่องเกมนี้ก็คือ “NES” (Nintendo Entertainment system) หรือ Famicom เครื่องเล่นเกมในตำนานที่ทั่วโลกรู้จักกันในปัจจุบัน
จากสถิติยอดขายของนินเทนโดในปีนี้พบว่า นินเทนโด อเมริกาสามารถทำเงินได้จากยอดขายเกมเป็นจำนวน 330,000,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากมีเกมสำคัญๆออกมามากมาย อาทิ Donkey Kong , Radar Scope , Sheriff, Space Firebird และ Space Fever
ปีเดียวกันนี้ นินเทนโดได้เริ่มขาย “เกมกด” หรือ "GAME & WATCH" ซึ่งเป็นเครื่องเล่นเกมพกพาหน้าจอ LCD ตัวแรกที่มีไมโครโปรเซสเซอร์
ทั้งนี้ จุดกำเนิดของ “มาริโอ” เกิดมาจากเกม “ดองกี้ คอง” นี่เอง เป็นตัวละครอ้วนเตี้ยที่ชื่อ “Jumpman” ซึ่งต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นมาริโอ หลังจากที่นินเทนโดได้เช่าโกดังเก็บตู้เกม "Donkey Kong" ในนิวยอร์ก โดยคนที่ให้เช่าโกดังที่ชื่อ “Mario Segali” หน้าตาดันมาเหมือนตัวการ์ตูนในเกม
-2524- ฟามิคอมอยู่ภายใต้การพัฒนา
ในปีนี้ IBM ได้ออกตัวเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี ออกมา ทางด้านนินเทนโดก็รุ่งเรืองแบบฉุดไม่อยู่ บริษัทนินเทนโดในอเมริกามีรายได้จากเกมถึง 464,000,000 เหรียญสหรัฐ นินเทนโดเริ่มขยายธุรกิจเกมตู้หยอดเหรียญด้วยการส่ง “ดองกี้ คอง” ไปขายทั่วโลก
-2525- ดองกี้ ดอง jr. ออกป่วน
เกมภาคต่อของเจ้าลิงยักษ์ออกมาสู่สายตาแฟนเกมด้วยเกมที่ชื่อ “ดองกี้ ดอง jr.” เกมนี้ถูกขายไปประมาณ 20,000-30,000 ชุด ในปีนี้ค่ายผู้ผลิตภาพยนตร์ชื่อดัง “ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ” ได้ขู่จะฟ้อง Coleco และนินเทนโด โดยอ้างว่าดองกี้ คองได้ละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยการใช้ชื่อหนังเรื่อง “คิง คอง” ทาง Coleco ยอมที่จะจ่ายรายได้ 3 % จากยอดขายให้ ต่อมา Coleco ขอค่าชดเชยค่าลิขสิทธิ์คืน หลังพบว่านินเทนโดชนะคดีในชั้นศาลกับทางยูนิเวอร์แซล ด้านยอดขายของนินเทนโดในปีนี้ทวีความมั่งคั่งเข้าไปอีกด้วยจำนวน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
อ่านเรื่องราวย้อนหลังได้ที่นี่
-ตอนที่1 :ย้อนตำนานชีวิต คุณปู่...แห่งวงการเกม “นินเทนโด”
ติดตามเรื่องราวตำนานชีวิตของ “นินเทนโด” 5 ตอนจบได้ในโอกาสพิเศษต่อไป
-ตอนที่3 นินเทนโดยุคฟามิคอมครองโลก-
-ตอนที่ 4 นินเทนโดยุคนวัตกรรมใหม่-
-ตอนที่ 5 เครื่องเล่นเกมในอาณาจักรนินเทนโด-
ข้อมูลและภาพประกอบจาก...
www.kellen.se
www.nintendomaniacs.com
nindb.classicgaming.gamespy.com
www.klov.com
www.nintendoland.com
www.miyamotoshrine.com