xs
xsm
sm
md
lg

อาหารแพงหูฉี่ของ “หนุ่ย พงศ์สุข” กับเกมต้มยำกุ้ง 10 ล้าน!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หลังจากที่ “ผู้จัดการเกม” ได้นำเสนอข่าว “Tony jaa Tom-yum-Goong : The Game” เกมใหม่จากฝีมือคนไทยที่ขนไปอวดต่อสาธารณชนในงาน TAM 2005 แบบสร้างความประหลาดใจให้กับวงการเกมบ้านเรา จนเราต้องบุกไปสนทนากับ“หนุ่ย พงศ์สุข” พิธีกรรายการไอทีชื่อดัง ที่หันมาเป็นหัวหน้าพ่อครัวผู้ปรุงไอเดียสร้างเกมจากหนังไทยที่ดังมาตั้งแต่จ่ายตลาดนั้นก็คือ “ต้มยำกุ้ง” ที่มีพระเอกบู๊ระห่ำไร้สลิง “จา พนม” มารับบท

สำหรับความเป็นมาเป็นไปของ “หนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์” พิธีกรหนุ่มรายการไอทีในการกระโดดมาทำเกม “Tony jaa Tom-yum-Goong : The Game” แบบเต็มตัว แถมทุ่มงบประมาณในการทำเกมถึง 10 ล้านบาท เรียกว่าไม่ธรรมดา โดยหนุ่ยเล่าให้ฟังอย่างละเอียดเท่าที่จะเปิดเผยได้ ซึ่งทาง “ผู้จัดการเกม” ได้ถอดคำพูดมาลงแบบไม่ตัดถอนว่า โปรเจคนี้เริ่มต้นไอเดียเมื่อ 2 ปี ที่แล้ว หลังจากชมภาพยนตร์เรื่อง "องค์บาก" แล้วชื่นชอบมาก โดยรอบที่ดูเป็นรอบปฐมทัศน์ที่มีคุณปรัชญา ปิ่นแก้ว (ผู้กำกับ)ไปด้วย เมื่อดูแล้วก็รู้สึกดีมากๆกับงานของพี่เขา ก่อนหน้านี้เคยรู้จักกันแต่ทางอินเตอร์เน็ต ก็เลยเดินออกมาแล้วจับไม้จับมือกัน แล้วบอกว่า "พี่ หนังเรื่องนี้มันต้องเป็นเกม" เราก็ทิ้งโจทย์นี้เอาไว้ ซึ่งพี่เขาก็บอกว่า "เออ..แล้วคุยกัน"

ต่อมา หลังจากที่หนังเรื่อง “องค์บาก” ประสบความสำเร็จมากในไทย ทำรายได้กว่า 150 ล้านบาท ก็มีการพูดคุยกันต่อ ตอนมันออกตลาดหนังต่างประเทศ ไปครั้งแรกที่เทศกาลหนังในแคนาดา ฝรั่งก็อเมซิ่งมาก จากนั้นไปที่ปูซานฟิลม์ เฟสติวอลที่เกาหลี มีการฉายหนังกลางแจ้งโดยมีคนดูประมาณ 1,500 คน พอดูจบคนก็กรูกันมาที่ "จา พนม ยีรัมย์" จนบอดี้การ์ดต้องกันตัวออกไป ขนาดขึ้นรถตู้ยังมีคนวิ่งตามเลย เกิดกระแสที่ชื่นชอบมากเนื่องจากเขาไม่เคยเห็นแบบนี้ เพราะว่าแอคชั่นมูฟวี่ส่วนใหญ่จะเป็นกังฟูแทบจะ 100 % วันนี้มวยไทยได้ถูกดัดแปลงแล้วมาอยู่ในหนังแอคชั่นมันๆแบบนี้ เขาก็เลยรู้สึกชื่นชอบมาก

“ผมมองเห็นว่ามันก็ต้องเป็นเกมแล้วล่ะ เพราะว่าตลาดต่างประเทศมันให้การต้อนรับมากขนาดนี้ ตอนแรกที่เราจะทำเกมก็ไม่คิดว่าจะทำโปรดัคชั่นใหญ่ขนาดนี้ เรารู้ว่าตลาดเกมในบ้านเราก็แคบพอสมควร เกมขายกันประมาณ 10,000 กล่องต่อเกม ซึ่งมันไม่คุ้มค่าผลิต แต่อย่างน้อยก็มีตลาดต่างชาติให้การยอมรับ องค์บากไปฉายที่ฮ่องกงขึ้นอันดับหนึ่งบ็อกซ์ออฟฟิศ ไปฉายที่ญี่ปุ่นแม้จะขึ้นอันดับ 5 แต่ว่ากระแสการตอบรับของคนดีมาก สื่อมวลชนมาสัมภาษณ์กันแทบทุกรายการ ผมก็คิดว่าเราต้องทำเกมแน่นอน” หนุ่ยกล่าวด้วยท่าทางชื่นชมในศักยภาพของหนัง

เสี่ยเจียงไฟเขียว

จากนั้น ได้เข้าไปคุยกับคุณสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ หรือ เสี่ยเจียง ซึ่งเสี่ยเจียงก็เป็นหนึ่งในคนที่ให้ไฟเขียว บอกให้บริษัทโชว์โนลิมิตไปลองทำเดโมเกมตัวอย่างมาให้ดูก่อน ซึ่งเราก็ใช้เวลาตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2546 รวบรวมทีมสมัครพรรคพวก จนครบทีมก็ประมาณเดือนมีนาคม แล้วก็นั่งพัฒนาเกมกันจนถึงสิ้นปีธันวาคมปีที่แล้ว ใช้เวลาประมาณ 10 เดือน

“ผมเองสัมภาษณ์คนไอทีมาพอสมควรก็รู้ว่าควรจะไปหาใครบ้าง แต่ว่าทุกคนที่ไปหาก็มีกิจการของเขาอยู่ พอเราบอกว่าจะทำเกมองค์บากทุกคนก็ตื่นเต้นบอกว่าเอาด้วย เริ่มที่ ป้อ นุสรณ์ พจน์พิพัฒน์ ("บิลล์ เกตส์" เมืองไทย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลกอริธึมส์ ผู้พัฒนาโปรแกรมปลาดาว อดีตมือคีย์บอร์ดของวง The Olarn Project) เป็นตัวตั้งตัวตีตั้งแต่ตอนแรก มีการพูดกันเล่นๆว่าเดี๋ยวเราไปซื้อเอ็นจิ้น 28 ล้านมาทำ.. (หัวเราะ)

“คุณป้อ เขาจะมีซอร์สเยอะมาก เขาจะรู้ว่าจะเอาอะไรตรงได้บ้าง แต่สุดท้ายปรากฏคุณป้อติดปัญหาเรื่องสุขภาพจึงเข้ามาร่วมอย่างต่อเนื่องไม่ได้ ผมก็ไปเจออีกคนก็คือ อาจารย์เบิ้ล เฉลิมพล โสมภีร์ แห่งเว็บไซต์ Thai3d.net ซึ่งกว้างขวางมากเครื่อง 3D และคุณ สำเร็จ วจนะเสถียร แห่ง Second Soft (บริษัทผลิตเกมมือถือ) ตอนแรกก็รวมกลุ่มกัน นั่งคุยกันแล้วไปว่าจะหาฟรีแลนซ์มาช่วยกันทำ แต่ก็พบว่าการทำเกมตามจุดต่างๆของประเทศ คุณสำเร็จอยู่นครปฐม คุณป้ออยู่แจ้งวัฒนะ อาจารย์เบิ้ลอยู่อีกที่หนึ่ง มันไม่เวิร์ค ผมก็เลยตัดสินใจเปิดแล๊ปในบริษัทโชว์โนลิมิตขึ้นมาเอง ใช้พื้นที่ที่เรามีอยู่ ทำเป็นสำนักงาน แล้วใช้ชื่อบริษัทว่า เกมโนลิมิตร่วมทุนกับบริษัทสหมงคลฟิลม์ อินเตอร์เนชั่นแนล

เด็กไทยไฟแรง แต่ขาดความรู้

เดิมทีบริษัเราทำพวกมัลติมีเดียกับพวกเกมที่เป็นพรีเซนท์เตชั่นอยู่แล้วเราก็เลยมีทีมเดิมที่สำรองมาบางส่วน แล้วเราก็หาทีมใหม่ๆเข้ามา แล้วก็ฝึกทีมใหม่เข้ามาอีก เป็นคนไทยทั้งหมด มีอยู่ 10 คน เราค่อนข้างยากลำบากในการหาคนมาทำงานที่มีประสิทธิภาพมาก ทั้งนี้ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราลงโฆษณาใน 3D.net ปรากฏว่ามีเด็กหลายๆคนที่อยากจะเข้าร่วมโปรเจคไม่ต่ำกว่า 50 คน จะมาหาเราเพื่อสัมภาษณ์วันละ3-5 คน

“เราค้นพบว่ามีแต่คนอยากทำ มีไฟจะทำแต่ว่า Know How ยังไม่มี วันนี้เด็กไทยอยากทำเกมแต่ไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย เราก็จับเอาคนที่มีความรู้ค่อยๆมาถ่ายทอด องค์กรเราเป็นองค์ที่มีคนที่รู้เรื่องนี้แล้ว 6 คน อีก 4 คนก็ยังไม่รู้แล้วก็ฝึกกัน มันก็เกิดการแตกหน่อทางความรู้ ผมรู้สึกว่าโปรเจคนี้ดีมาก ทำให้ทุกคนที่ร่วมโปรเจคนี้มีความรู้เพิ่ม ทุกคนได้อะไรจากมัน” หนุ่ยเล่าประสบการณ์สะท้อนความเป็นจริง

“นี่คือปัญหาของบ้านเรา คือ เราเล่นเกมพร้อมๆกับเด็กญี่ปุ่น เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ผมก็เคยเป็นเด็กคนนั้นมาก่อน ทุกวันนี้พอเราโตมาหรือคนอื่นโตมา บางคนก็ยังเล่นเกมอยู่ แต่เด็กญี่ปุ่นที่โตขึ้นมาพร้อมๆเรา ต่างก็เป็น Developer (ผู้พัฒนาเกม) ไปแล้ว เพราะเขาอยู่ในประเทศที่มีองค์ความรู้เรื่องนี้ เป็นผู้ผลิตเทคโนโลยี เขาก็มีการถ่ายทอดความรู้ต่อๆกัน

สำหรับความรับผิดชอบในเกม ตัวผมอยู่ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเกมโนลิมิต ทำหน้าที่เหมือนคนจุดโปรเจคขึ้นมา แล้วก็หาเงินเข้ามาได้บริษัท คุยกับอินเวสเตอร์ ก็คือ สหมงคลฟิลม์ รวมถึงดูภาพรวม แก้ไขงานบางส่วน เช่น สิทธิ์ในการทำงานเราจะให้อาร์ตไดเร็คเตอร์และทีมงานเป็นผู้ทำ แต่ทำเสร็จแล้วเขาจะเอาเดโมมาให้ดู แล้วผมจะคอมเมนท์ไป คือ จะไม่ทำงานในส่วนล่าง เพราะว่าไม่งั้นจะเป็นการไปรบกวนการทำงาน แล้วจะทำให้คนทำงานรู้สึกอึดอัด จนเมื่อเขาทำเสร็จในระยะหนึ่งแล้วเราจะเข้าไปดูว่าเป็นยังไง

ส่วนคนที่ดูแลโปรเจคนี้แบบใกล้ชิดจะเป็นคุณสหชัย ปิ่นมณี ซึ่งเป็นอาร์ตไดเร็คเตอร์ เขาใช้ชีวิตอยู่ในเว็บ 3D.net เป็นฟรีแลนซ์กราฟิกที่เจ๋งมากคนหนึ่ง มีบทบาทอย่างมากในเกมนี้ เขาจะมาจ่ายงาน วางอาร์ตไดเรคชั่น ที่เห็นทั้งหมดอย่าง 3D แอนนิเมชั่น เพลงประกอบแล้วก็เรื่องฉากต่างๆ ล้วนเกิดมาจากเขาทั้งสิ้น

จากนั้น พิธีกรหนุ่มเล่าสาเหตุที่ต้องเปลี่ยนชื่อเกมว่า ตอนแรกเราทำภายใต้ชื่อเกมว่า “องค์บาก” เนื่องด้วยมันยังอยู่ในระยะที่ยังฉายในต่างประเทศได้อยู่ ประกอบกับว่าหนังต้มยำกุ้งบทยังไม่เสร็จเมื่อประมาณครึ่งปีที่แล้ว เราก็เลยยังไม่คิดว่าจะทำต้มยำกุ้ง แต่เราคิดว่าเมื่อเราทำองค์บากแล้ว เราจะเพิ่มฉากเข้าไปแล้วกลายเป็นต้มยำกุ้งได้

พอคุณสมศักดิ์เข้ามาดูงานก็บอกว่า “จะทำองค์บากทำไม ในเมื่อหนังมันกำลังจะสิ้นสุดการฉายแล้ว” คือมันจะเข้าที่อเมริกาเดือนกุมภาพันธ์นี้ “ทำไมทำเป็นต้มยำกุ้งไปเลยแล้วออกไปพร้อมกับหนัง” จากนั้นเราก็เลยเอาบททั้งหมดมาตีโจทย์ให้กลายเป็นด่านในเกม โดยที่เรายังไม่ได้ดูหนัง แต่มี “คุณปรัชญา ปิ่นแก้ว” (ผู้กำกับ) ถอดร่างเข้ามากำกับเกมด้วย โดยดูว่าเนื้อหาเรื่องมันต้องเป็นยังไง จนออกมาเป็นเกมในที่สุด

เกมต้นทุนแพงที่สุดในประเทศ 10 ล้านบาท

ด้านต้นทุนในการทำเกม ตอนนี้เราวางไว้ 10 ล้านบาท เนื่องจากว่าต้นทุนจริงๆถ้าเทียบแล้ว แรงงานคนเราใช้เวลา 14 เดือน เสียค่าใช้จ่ายประมาณ 4 ล้านบาท และยังต้องรวมค่าซอฟท์แวร์ด้วย ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่ใช้ของแท้

“ผมรู้สึกว่าจรรยาบรรณของคนทำเกม จะเอาของเขาออกมาขาย มันทำงาน Tool เขา ก็ต้องจ่ายเงินให้เขา ฉะนั้นเราก็ต้องเตรียมเงินอีกส่วนหนึ่งไว้ นั้นก็คือ ซอฟท์แวร์ ที่ราคาแพงมหาโหด แต่ว่าบริษัทขายลดราคาให้เป็นพิเศษ (หัวเราะ)”

รวมแล้วงบผลิตอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านบาท ส่วนอีก 5 ล้านเป็นโปรโมชั่น ซึ่งเริ่มตั้งแต่งานนี้แล้ว ใช้เงินไปก็ล้านกว่าบาทแล้ว แต่ว่าส่วนอื่นๆจะกระจายในรูปแบบโร้ดโชว์ ส่วนสื่อที่เป็นประชาสัมพันธ์แนว Above the Line สหมงคลฟิลม์จะเป็นผู้ดูแล ซึ่งจะเป็นการทำโปรโมชั่นพร้อมกับหนัง โปสเตอร์หนังออกไปต้องรู้ด้วยว่ามีเกมต้มยำกุ้ง ในขณะเดียวกันที่หน้าโรงหนังอาจจะมีการทำ Bundle Package ตั๋วกับเกมไปเลย ตั้งใจไว้ว่าจะขายในระดับ Mass มากขึ้น ถ้าเกิดมันไม่ Mass ก็จะไม่คุ้มค่าต้นทุนการผลิต

ตอนนี้ราคาเกมบ้านเราหน้ากล่องประมาณ 499 บาท แต่ขายจริงๆ 399 บาท ทั้งนี้ ผู้บริโภคไทยจะมีอะไรอยู่นิดหนึ่งก็คือ ถ้าบริโภคของไทย ทำไมต้องเท่าฝรั่ง เช่น หนังไทย ทำไมตั๋วต้อง 120 บาท ทำไมตั๋วไม่ 80 บาท หรือ 100 บาท ในเมื่อหนังสร้างสู้ฝรั่งไม่ได้ คนไทยไม่ได้มองว่าหนังเขาสร้างแล้วขายไปทั่วโลก ซึ่งทำให้ถึงจุดคุ้มทุนง่ายกว่าเรามาก แทบจะมีเงินมารอก่อนที่จะสร้างด้วยซ้ำ เพราะว่าสายหนังจะซื้อหนังไปก่อนแล้ว ในขณะที่ของไทยเรากำลังจะขายคนไทยก่อน อาจจะต้องขายในราคาที่ถูกกว่าและต้องขายพร้อมกันทั่วเอเชียด้วย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพของตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ด้วย

ส่วนแบ่งค่าทำเกมน้อยจนน่าตกใจ

จากงานนี้ผมได้คุยกับตัวแทนจำหน่ายหลายเจ้า ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศก็พบว่าราคาค่าเกมจริงๆที่เราจะได้มันไม่ได้เยอะขนาดราคาหน้ากล่อง คือ ถ้ารายใหญ่จริงๆราคาจะถูกมากจนหน้าตกใจ ซึ่งผมคงไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากทางโน้นคงไม่อยากเปิดเผย มีทั้งระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ

ทางเราต้องดูข้อเสนอว่าใครมีศักยภาพในการกระจายสินค้าได้มากที่สุด ใครการันตีกล่องให้ขายได้มากที่สุด และใครจะให้ค่าลิขสิทธิ์มากที่สุด มันไม่มีใครสมบูรณ์ทั้ง 3 อย่าง ดังนั้น ต้องเอามาชั่งน้ำหนักดู ซึ่งหลังจากงานนี้คงได้ทราบภายใน 2 เดือน

เกมลิขสิทธิ์ไทยถูกที่สุดในโลก

ส่วนราคาที่คิดว่าจะขายนั้น อยากให้มันทัดเทียมมาตรฐานคือ 499 บาท เพราะ เดี๋ยวคนจะหาว่าทำไมตั้งราคาแล้วเท่ากับเกมกล่องฝรั่ง เกมกล่องญี่ปุ่น ผมก็อยากจะบอกว่าเกมลิขสิทธิ์ในเมืองไทยราคาถูกที่สุดในโลกแล้ว ถ้าไม่นับจีน 15 หยวน บ้านเรา 499 บาทเทียบแล้วก็พอๆกัน แต่ว่า 499 บาทของเราไปเทียบกับเกมต่างประเทศที่ขายกันจริงๆ อย่างในอเมริกาขาย 49.99 เหรียญสหรัฐ คูณ 40 เข้าไปนั้นคือ 2,000 บาทต่อเกม เราก็รู้ว่าปริมาณการซื้อกับค่าครองชีพมันต่างกัน จุดคุ้มทุนและการลงทุนของเราก็ต่ำกว่าเขา ตลาดของเราก็แคบกว่า แต่เราก็เชื่อว่าการที่เราได้ “จา พนม” มาเป็นพระเอกของเกมนี้ มันจะเป็น Premium Content คือมันจะเป็น Content ที่คนทั่วโลกรู้จักแล้ว คงมีคนกลุ่มหนึ่งที่ชอบ “จา พนม” แล้วอยากจะสะสมเกมนี้ ซึ่งทำให้เราประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

จากการหลายคนบ่นว่า ทำไมถึงไม่ใช้ชื่อเกมเป็นภาษาไทย? หนุ่ยกล่าวชี้แจงว่า ผมเข้าไปอ่านกระทู้นั้นที่มีคนต่อว่ามาทางผู้จัดการ บอกตรงๆว่า เราขายความเป็นไทย ด้วยลายกราฟิก ลายอาร์ต เนื้อเรื่อง ภาษาที่ใช้ ทุกๆท่าที่จา พนม เตะต่อยในเกม มีการลงเสียงของจา พนมจริงๆ เวลาขึ้นท่าคอมโบ มันก็จะมีเสียงออกมาเป็นท่านั้น อย่าง “หนุมานถวายแหวน” แล้วจะมีชื่อภาษาอังกฤษข้างล่างบรรยายกำกับ เพราะว่าฝรั่งอยากรู้ ในขณะเดียวกันเกมมันก็มีกลิ่นไอความเป็นไทยทั้งหมด แล้วการที่เราจะขายไปทั่วโลก ผมก็เลยคิดว่า เราน่าจะทำให้มันเป็น Master Language ไปเลยดีกว่า ว่า “Tony jaa Tom-yum-Goong : The Game” แต่ถ้าเป็น “ต้มยำกุ้ง” เฉยๆมันก็จะเหมือนกับหนัง และการที่ใส่ “โทนี่ จา” เข้าไปก็เหมือนกับว่าเป็นการสร้างเอกลักษณ์ในชื่อ เราจำเป็นจะต้องขาย “โทนี่ จา” เพราะว่าตอนนี้ทั่วโลกรู้จักกันหมดแล้ว ประกอบกับ “ต้มยำกุ้ง” เป็นชื่อของอาหารไทยกลยุทธ์ของคุณปรัชญา ปิ่นแก้วที่คิดว่า การตั้งชื่อหนังด้วยชื่ออาหารที่คนรู้จัก เหมือนหนัง ลุค แบซอง ที่ชื่อ “วาซาบิ” มันก็จะทำให้คนจำได้ง่ายขึ้น เราจึงตั้งชื่อแบบดังกล่าว

หนุ่ย พงศ์สุข กล่าวถึงเอ็นจิ้นที่นำมาพัฒนาเกมว่า ตัวเอ็นจิ้นที่พัฒนาเกมนั้น เริ่มแรกเราใช้ Dark Basic ในการทำ แต่ต่อมาเราเห็นว่าหากพัฒนาขึ้นมาเองจะทำคนไทยมีองค์ความรู้ในการทำเกมเป็นของตัวเอง แล้วมันจะนำมาใช้ในเกมอื่นๆตามมาด้วย จากนั้นเราเลยต้องพัฒนาตัวเอ็นจิ้นต่อยอดจาก Dark Basic ขึ้นมาเอง ซึ่งตอนนี้เรายังไม่มีการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ แต่คิดว่าคงจะใช้ชื่อว่า "TYG" ย่อมาจาก "ต้มยำกุ้ง" นั้นเอง

สวมบทเป็น “จา พนม” คนเดียว

ในส่วนความคืบหน้าของงานนั้น ตอนนี้เสร็จไปแล้ว 70 % เหลืออีก 30 % ที่เรายังห่วงอยู่ว่าอีก 4 เดือนข้างหลังที่ดูเหมือนเยอะ แต่ความจริงไม่เยอะ เราจำเป็นต้องปิดเกมให้ได้ภายใน 2 เดือน เพื่อทดสอบระบบ และตรวจหา Bug 1 เดือน ส่วนอีก 1 เดือนจะเป็นการวางแผนการผลิตเพื่อที่จะออกจำหน่าย

ด้านตัวละครที่จะเห็นในเกมจะมี หม่ำ ม๊กจ๊ก ตั๊ก บงกช และดาราต่างประเทศ ซึ่งมีอยู่ 3 ตัวหลักๆ นอกนั้นก็จะเป็นตัวละครที่จะไม่เหมือนในหนัง แต่ว่าจะเป็นศัตรูที่เราสร้างขึ้นมา โดยตัวละครที่นอกเหนือจาก “จา พนม” นั้นจะเป็นตัวละครประกอบเหตุการณ์ ยังไงผู้เล่นก็ยังเป็น “จา พนม” อยู่ดี มันยังไม่ถึงขนาดที่จะเป็นเกม RPG ที่จะสลับตัวละครได้ เพราะเราวางเกมนี้ไว้เป็น 3D Action/Fighting เราอยากได้กลิ่นของการต่อสู้ด้วย จึงเป็น “จา พนม” คนเดียวเท่านั้น

สำหรับเนื้อหาเกมจะถูกวางเรื่องราวให้ตรงตามหนังทั้งสิ้น แต่จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกว่า ในแง่ที่ภาพยนตร์ไม่ได้นำเสนออย่างเช่น บ้านของ “ขาม” (จา พนม) โดยจะบ่งบอกลักษณะการแต่งตัวของเขาตอนนอน มีฉากเขาพนมรุ้งด้วย ซึ่งเราอนุมานว่าอยู่ใกล้หมู่บ้านช้าง ทั้งที่ในเรื่องไม่ได้พูดถึง ในหนังหมู่บ้านช้างจะเป็นซีนดราม่า แต่ในเกมเราจะทำเป็นแอคชั่นเลย มีการต่อสู้กับศัตรู

คั่นฉากหนังจริงในเกม -15 ท่าคอมโบ

ตลอดทั้งเกมจะมีการเอาหนังจริงๆมาคั่นฉากเพื่อเล่าเรื่องราว ตอนแรกเราตัดสินใจว่าจะใช้ภาพแอนนิเมชั่น 3D แต่ว่าโดยระยะเวลาโปรดัคชั่นแล้วคิดว่าไม่ทัน บวกกับการที่เรามองว่ากลุ่มเป้าหมายของเกมนี้คือคนชอบหนัง ฉะนั้น คนที่ชอบหนังเขาก็ควรจะได้สิ่งที่มันอยู่ในหนังไปอยู่ในเกมด้วย เราก็จะเอาภาพจากหนังมาเชื่อมต่อในแต่ละฉาก

ฉากทั้งหมดมี 6 ฉาก ทั้งนี้ มีฉากเปิดฉากเดียวที่ทำเป็นแอนนิเมชั่น ส่วนเวลาที่ใช้เล่นเกมนี้ทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง มีสูตรเป็นท่าคอมโบในการต่อสู้ในเกมทั้งหมด 15 ท่า แต่เดโมที่เรานำมาให้ลองนั้นยังไม่ถึง ส่วนบอสเกมนี้ก็มีให้ต่อสู้กันด้วย เป็นบอสที่เราสร้างขึ้นมาใหม่กับบอสที่มีอยู่ในหนัง ซึ่งไม่ได้มีบอสทั้ง 6 ฉาก เพราะว่าฉากแต่ละฉากจะเป็นภารกิจ ระหว่างฉากจะมีตัวใหญ่ๆเข้ามาสู้ แต่ว่าระหว่างนั้น พอจบภารกิจ คือจบ 1 ฉาก ภารกิจฉากแรกคือการตามหาช้าง พอเจอช้างปั๊ป จะตัดเข้าฉากหนังให้เล่าเรื่องว่าช้างถูกขโมย

“ผมเล่าเรื่องมากไม่ได้ เพราะว่าผู้กำกับบอกให้ จุ๊ๆ ไว้ก่อน เขายังไม่ได้ตัดต่อหนังและยังถ่ายทำไม่เสร็จ เขาจะมีวิธีการเล่าเรื่องอีกแบบหนึ่งที่จะทำให้คนดูลุ้นระทึกว่าใครเป็นศัตรูหรือตัวโกงกันแน่ โดยเก็บค่าประสบการณ์จากด่านที่ผ่านมา เซฟเกมจะอยู่ที่ศาลพระภูมิในแต่ละฉาก ส่วนสูตรโกงนั้นมีแน่นอน แต่ต้องรอลุ้น” หนุ่ยแอบเผยรายละเอียดมาบางส่วน

ด้านเพลงประกอบ ทีมงานเราทำเพลงเองทั้งหมด เนื่องจากบริษัทมีห้องอัดเสียงอยู่แล้วเพื่อทำเพลงออกงานต่างๆ ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะอยู่เฉพาะในเกม แต่ว่าผู้กำกับชอบมาก เผลอๆเพลงนี้อาจจะกลายเป็นเพลงประกอบหนังไปเลยก็ได้ ที่เราไม่ได้รอเพลงประกอบหนังจริงๆเพราะว่าเพลงจริงๆยังไม่เสร็จ เราก็เลยเอาเพลงนี้มา โดยรวบรวมจากกระบวนท่าของจา พนม ทั้ง 15 ท่า

“มนุษย์เหล็กไหล”โปรเจคเกมถัดไป

โครงการในอนาคตของบริษัทพิธีกรหนุ่มอารมณ์ดีเล่าฟังว่า บริษัทจะพัฒนาเกมควบคู่ไปกับหนัง ในเบื้องต้นจะเป็นสหมงคลฟิลม์ก่อน เพราะเป็นแขนขามาตั้งแต่ต้น ต่อไปเราจะผลิตเกมจากหนังที่มีความเชื่อมั่นว่าจะไปสู่ตลาดโลกได้ เรื่องต่อไปที่เรามองไว้ เป็นเรื่อง “มนุษย์เหล็กไหล” หนังแอ็คชั่นฮีโร่ ที่สร้างตัวละครของไทยเลยแล้วไปฟัดกับพวกแบทแมน สไปเดอร์แมน อุลต้าแมน

“หลังจากจบต้มยำกุ้งแล้วเราจะวัดความสำเร็จอีกทีว่ามีกระแสตอบรับมาขนาดไหน ถ้ามันกลับมาได้ดี คนตอบรับเยอะ คนไทยไม่รังเกียจเกมไทยด้วยกัน คนไทยเข้าใจว่าเกมไทยวันนี้มันคือบันไดขั้นแรก มันไม่ใช่ โอนิมุฉะ มันไม่ใช่เกมคอนโซลอื่นๆ เพราะว่าเทคโนโลยีมันก็คนละแบบแล้ว 128 บิต กับ 32 บิต มันต่างกัน แต่ว่าวันนี้เราทำให้ 32 บิต ที่เราทำ เราพยายามทำให้ภาพที่ใกล้ 64 บิตมากที่สุด โดยคอนเซ็ปท์ของการสร้างงาน ถ้าเกมเมอร์เข้าใจ แล้วสนับสนุน มันจะรู้สึกดีมากเลย” หนุ่ยกล่าววิงวอนขอความเห็นใจ

แฟนเกมไทยสนใจล้นหลาม

นอกจากนี้ “ผู้จัดการเกม” ยังได้แอบไปสนทนากับเด็กๆทั้งรุ่นเล็กรุ่นน้อยที่เข้ามาทำสอบเดโมเกมนี่ในงาน TAM 2005 เริ่มที่น้องกิตติศักดิ์ จันทวงษ์จากสมุทรปราการ กล่าวว่า เล่นเกมนี้แล้วรู้สึกภูมิใจมากที่คนไทยสร้างได้ดีมาก ที่เอาพี่ จา พนม มาประกอบท่าทางโดยใช้ของจริงมาลงในเกม รู้สึกเหมือนของจริงมาก เกมฝรั่งจะมาเปรียบเทียบกับเกมไทยไม่ได้ เกมนี้กดท่ายากหน่อย แต่ดีกว่าเกมฝรั่ง ข้อผิดพลาดในเกมจะมีด่านหลุดๆ ไปบ้าง แต่ถือว่าเป็นแค่เดโมที่นำมาให้ลอง

ส่วนครอบครัวไตรชัชวาล ที่มีคุณพ่อพูดคุยกับเราขณะที่ลูกกำลังทดลองเกมว่า รู้ว่ามีเกมนี้จากทางหนังสือพิมพ์ ชอบงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีแบบนี้มาก เมื่อปีที่แล้วก็มา วันนี้เลยอยากพาลูกๆมาชม และเห็นว่าเขาสนใจเกมนี้เลยมายืนดูด้วยกัน ด้านน้องชัชฤทธิ์ อายุ 14 ปี หลังจากทดสอบเกมเสร็จก็กล่าวกับเราว่า เล่นแล้วสนุก สีมันสวยดี ผมว่าเกมไทยดีกว่าเกมต่างชาติ แถมเรายังได้รู้จักแม่ไม้มวยไทย และคิดว่าคงจะซื้อเกมนี้กลับไปเล่นเมื่อออกแน่นอน

หวังว่า เมื่อเกมนี้เสร็จสมบูรณ์ ทาง “ผู้จัดการเกม” จะรีวิวให้ทุกคนให้ทราบกันแน่นอน รวมถึงบทสัมภาษณ์ทีมพัฒนาเกมคนอื่นๆ ที่ตอนนี้คนกลุ่มนี้ในไทยจะค่อยๆเริ่มเนื้อหอมเหมือนนักพัฒนาเกมในต่างประเทศบ้างแล้ว เรียกว่าผู้พัฒนาเกมในต่างประเทศเขาดังเหมือนเป็นดารากันเลยทีเดียว หวังว่าภาพแบบนั้นจะมาเกิดที่ประเทศไทยในเร็ววัน ทางเราได้แต่ภาวนาให้เกมนี้เกิดแบบเต็มตัว เพราะที่ผ่านมาเกมของคนไทยยังไม่ได้รับการยอมรับ และดูถูกจากผู้เล่นของเราเองพอสมควร จนผู้พัฒนาเกมท้อแท้ไปบ้างก็มี











กำลังโหลดความคิดเห็น