xs
xsm
sm
md
lg

“ไฮโซนัท-ภรรยา” เปิดหน้าท้าชน “ไฮโซ ต.” รับปรี๊ดแตกจะคืนให้แค่ 5 ล้าน ไล่ให้ไปยืมคนอื่น ถ้าเดือดร้อน!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ไฮโซนัท” เปิดใจหมดเปลือก ถูกเพื่อนรัก “ไฮโซ ต.” เชิดเงิน 14 ล้านหนีไปต่างประเทศ ยันมีสัญญากู้เงินชัดเจน แถมอีกฝ่ายตีเช็คค้ำประกัน ไม่ใช่เงินลงทุน งงแนะให้หาพาร์ตเนอร์ไปยืมเงินบริษัทตัวเอง เพื่อเอาเงินมาคืนตน ถามกลับมิตรภาพมีค่าแค่นี้? ด้านภรรยาเผยเป็นบทเรียนราคาแพงที่ต้องสูญเงินกว่า 100 ล้าน ภรรยา ไฮโซ ต. อยู่รับรู้ทุกความเจ็บปวด แต่สุดท้ายมาทำเสียเอง ปรี๊ดแตกสุดจะคืนแค่ 5 ล้าน แถมไล่ให้ไปยืมเงินคนอื่นถ้าลำบาก พูดแบบนี้ได้ยังไง! 

หลังจากวงการไฮโซลุกเป็นไฟ กับเรื่องราวของ “ไฮโซ ต.” ยืมเงิน “ไฮโซ น.” 14 ล้านแล้วไม่คืน ล่าสุดหนีไปต่างประเทศแล้ว จนทำโลกโซเชียลแห่เดาว่าเป็นใคร

ล่าสุด “ขวัญ ม.ล.พลอยนภัส ลีนุตพงษ์” ภรรยา “ไฮโซนัท อภิชาต ลีนุตพงษ์” ได้ออกมาโพสต์เล่าบทเรียนราคาแพง 2 ปีสูญเงิน 100 ล้านบาท ซัดเรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร แม้จะเป็นระดับเศรษฐีแถวหน้าของเมืองไทย ซึ่งทำให้โซเชียลถึงบางอ้อ ว่า “ไฮโซ น.” คือ ไฮโซนัท อภิชาต

ล่าสุด ไฮโซนัท มานั่งเปิดใจให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวใส่ไข่ วันที่ 18 ธ.ค. เล่าหมดเปลือกทุกเรื่องราว พร้อมเผยถึงสิ่งที่รับไม่ได้ในตัว ไฮโซ ต.

-จริงๆ เป็นเพื่อนที่รู้จักกัน เป็นเพื่อนผม เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที รู้จักสมัยเรียนปริญญาตรี รู้จักมาเรื่อยๆ

-เขาเป็นลูกค้า ซื้อรถซูเปอร์คาร์ เขาเป็นเจ้าของรถ ผมก็มาทำลัมบอร์กินีพอดี ก็ได้เจอกันอีกครั้ง

-ตอนนั้นเขาขับมาเซอร์วิส พอเจอกันก็เริ่มคุยกัน เหมือนเป็นเพื่อนเก่าก็ดีใจ รู้จักกันมาตั้ง 30 ปี บอกไปก็รู้อายุเลย

-จุดเริ่มต้นปัญหา พอเพื่อนเดือดร้อน ยืมเงิน เราก็โอเค ไม่ได้คิดอะไรมาก ทำสัญญายืมเงิน มีกำหนดเวลาที่ชัดเจน ก็คิดว่าเราไม่ได้ใช้เงินในส่วนนี้ ช่วงเวลานั้นเราไม่ได้เดือดร้อน และคิดว่าไม่น่าได้ใช้เงิน

-กู้เงิน 14 ล้านบาท เป็น 2 ก้อน ก้อนแรก 11 ล้าน ก้อนที่สอง 3 ล้าน

-ผมมองว่าพอความเป็นเพื่อน ก็เป็นความเชื่อใจ ให้ด้วยความรู้สึกว่าเป็นเพื่อนกัน เหมือนราคามิตรภาพ ไม่น่าถูกขนาดนี้

-ก้อนแรกเป็นช่วงปี 65 ทำสัญญาเงินกู้ชัดเจน เขาตีเช็คล่วงหน้า จ่ายในเวลา 1 ปี

-ตามเช็คคือเขาจะชำระทั้งก้อน เขาตีเช็คให้พร้อมสัญญา เราไม่ได้เอาขึ้นเงิน เพราะเขาขอต่อเวลาไปอีกปีนึง

-เขาเอาไปทำอะไรเราไม่รู้ แต่สัญญาเป็นสัญญากู้เงิน เป็นสัญญาส่วนตัวของผมกับทางเขา

-ดอกเบี้ยเขาเป็นคนเสนอมา 8 เปอร์เซ็นต์ ถามว่าสูงไหมก็ไม่ได้สูง ก้อนแรกดอกเบี้ย 8 เปอร์เซ็นต์ ก้อนที่สอง 6 เปอร์เซ็นต์ เราก็ไม่ได้ต่อรอง เท่ากับเรากู้เงินโอดีทุกวันนี้ก็เกินกว่านี้แล้ว ดอกเบี้ยไม่ใช่ประเด็น

-ก้อน 2 ถัดมาอีกประมาณ 6-7 เดือน เขาดูไม่ได้มีปัญหาการเงิน ด้วยความที่เรารู้จักกันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เหมือนเป็นเพื่อนกัน รู้จัก 30 ปี เขาประกอบอาชีพ ทำธุรกิจ คิดว่าน่าจะโอเค

-พอเริ่มครบกำหนด เราถามว่าเมื่อไหร่จะคืน เพราะเราก็ทำธุรกิจ เราอยากเอาเงินไปลงทุนทำอย่างอื่น เงินก้อนนี้ถ้าไปทำธุรกิจ เราได้มากกว่าดอกเบี้ย 8 หรือ 6 เปอร์เซ็นต์ เราถามเขา เขาเริ่มผัดผ่อนมาเรื่อยๆ

-จนกระทั่งเราเริ่มรู้สึกแปลกๆ เขาบอกว่าให้ทางผมกับพาร์ตเนอร์ไปกู้เงินบริษัทเขา ให้พาร์ตเนอร์ไปกู้แล้วเอาเงินมาคืนผม เขาจะค้ำประกันพาร์ตเนอร์ผม เขาบอกแป๊บเดียวเขาจะเคลียร์ได้ เราบอกไม่เป็นไร เดี๋ยววุ่นวาย เขาบอก 2-3 เดือนเดี๋ยวเคลียร์ได้ พอถามไถ่ไปเรื่อยๆ ก็ได้รับคำตอบว่าขอต่อไปอีก 2 เดือน

-จนถึงเดือน 7 ครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกัน ผมพยายามนัดคุย เราถามไถ่ตั้งแต่ต.ค.ปีก่อน จนมาถึงเดือน 7 กินเวลาเกือบปี เอาไงก็ว่ามา เขาบอกว่าเขาอยู่ต่างประเทศ ขอโทร.ทางไลน์ คุยประมาณชม.นึง

-บทสรุปบอกว่าตอนนี้ยังไม่สะดวกจะคืน น่าจะคืนได้ช่วงปี 70 บริษัทของเขาช่วงนี้ไม่ดี ดอกเบี้ยไม่มีจ่าย กรณีคืนเงินได้ เขาต้องไปขายบริษัทเขาก่อน

-ผมก็มีทวง ถามไถ่ไปอีก ผมยังอยากนั่งคุยกันอยู่ เขาบอกว่าเขาพยายามคืนแล้วนะ ตอนที่ให้พาร์ตเนอร์ผมไปกู้ ซึ่งมันไม่น่าจะดีนะ

-หลังจากนั้นติดต่อไม่ได้ ก็เลยต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย เริ่มคุยกับทางทนาย ใช้ขั้นตอนตามกฎหมายปกติ เพิ่งไปศาลเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

-คิดว่าเขาอยู่ต่างประเทศ เพราะตอนไปที่ศาล เขาส่งทนายมา ทนายมีหนังสือมอบอำนาจจากต่างประเทศ เป็นตัวแทน

-ตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้คุยกันเลย จนถึงตอนนี้ ครั้งสุดท้ายที่เป็นไลน์แล้วไม่ได้ตอบคือช่วงเดือน 7 เดือนก.ค.ที่ผ่านมา

-เราฟ้องไปตามขั้นตอนกฎหมาย คุยผ่านทนาย ทนายเขาบอกทนายผมว่าอยากขอไกล่เกลี่ยประนีประนอม เขาพยายามหาเงิน คือขายบริษัท พอถามว่าไทม์ไลน์เป็นยังไง เขาบอกว่าไม่มีไทม์ไลน์ เราก็เอ๊ะ ถ้าไม่มีไทม์ไลน์จะคุยรู้เรื่องได้ไง เราพร้อมคุยอยู่แล้ว ถ้าบอกว่าไม่มีไทม์ไลน์มันคุยกันไม่รู้เรื่อง 
 
-สัญญาเป็นผมกับทางเขา เขาเคยมีบอกว่าถ้ามีอะไรช่วงนี้เขาไม่สะดวก ให้ติดต่อทางภรรยาเขาได้ ซึ่งผมก็มองว่ามันเป็นเรื่องของผมกับเขา ให้ผมไปคุยกับผู้หญิง มันก็ไม่ใช่เรื่องต้องมานั่งรับผิดชอบ ผมคิดว่าเราน่าจะมาคุยกัน

-ทางภรรยาผม เคยคุยกับภรรยาเขา ถ้าใจผม ทุกอย่างมีเอกสารอยู่ในสัญญา เราควรเคารพกฎหมาย

-ผมก็ต้องขอบคุณที่ให้มาอยู่ตรงนี้ แต่ด้วยความสัตย์จริง ไม่ได้อยากมาเลย เราไม่ได้มาด้วยความโกรธแค้น หรือต้องการให้เขาเสียหายอะไร แต่ที่มาเพราะเป็นบทเรียนตัวเรา ที่เราสามารถแชร์ให้คนอื่นได้ ว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับใคร ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าเรามีเงินเท่าไหร่ เงินทุกบาททุกสตางค์ เราก็หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา การที่เราจะให้ใครสักคน วันนั้นเขาก็คงเดือดร้อน ผมไม่ได้เก็บดอกเบี้ย 50 เปอร์เซ็นต์นะ ไม่งั้นเราเปิดบริษัทปล่อยเงินกู้ดีกว่า เราไม่ได้มีอาชีพนั้น

-เราให้ยืมเพราะคิดว่ามันคือมิตรภาพที่เราให้ ถ้าถามว่าอยากให้จบยังไง ผมก็แค่อยากได้เงินผมคืน ใครก็ตามที่ยืมเงินก็ควรรับผิดชอบ

-ภรรยาตัดสินใจออกมาโพสต์ เพราะตอนแรกเราคุยกันว่าเราจะเงียบๆ ไหม แล้วดำเนินขั้นตอนตามกฎหมาย แต่คุณขวัญบอกว่ามันก็เหมือนอุทาหรณ์คอยเตือนหลายๆ คนว่า ถ้าจะให้ยืมเงินก็ควรรัดกุมให้มากกว่านี้ ถ้าที่ดินก็ขายฝาก อย่างน้อยก็มีหลักทรัพย์อะไรสักอย่างที่เราสามารถไว้ใจได้ว่าเงินของเราจะไม่สูญไป นั่นคือวัตถุประสงค์ที่เราออกมา

-ถ้าเป็นผมกับภรรยาตอนนี้ เราคงอยู่ของเราเงียบๆ ดีกว่า เรื่องการช่วยเหลือมันพูดยากจริงๆ เวลาคนเขาขอความช่วยเหลือจะเป็นแบบนึง แต่สุดท้ายแล้วกฎหมายก็ไม่ได้เอื้อช่วยฝ่ายที่เดือดร้อน ฝ่ายที่โดนเอาเปรียบ

-เรื่องนี้เกิดเดือน 7 เดือน 8 ผมได้คิวศาลวันแรก 15 ธ.ค. เขาแค่มีทนายมา มีข้อโต้แย้ง ซึ่งเป็นเรื่องปกติของผู้กู้อยู่แล้ว นัดถัดไป 5 ส.ค.69 ก็เป็นส่วนนึงที่อยากแชร์ คดีแพ่งเขายาวจริงๆ คิวศาลเราก็เข้าใจ

-ตัวผมเอง ไม่ได้ทำอาชีพปล่อยกู้ สมมติเพื่อนสนิทมายืมเงิน ผมบอกให้เอาที่ เอาบ้านมาขายฝาก ขอดอกเบี้ย 15 เปอร์เซ็นต์เต็มตามกฎหมายกำหนด ผมว่าไม่ได้อยู่ในสถานะทำแบบนั้น ต่อจากนี้ ไม่ให้กู้น่าจะดีที่สุด

-ถามว่ารู้สึกโดนหักหลังไหม ต้องยอมรับว่าตอนคุยมีบางคำพูดที่ผมโกรธ เช่น พยายามคืนแล้ว ถ้าไปฟ้องศาลก็คงไม่ชนะ เพราะเขาพยายามคืนแล้ว อันนั้นผมโกรธนะ คิดว่ามิตรภาพราคา 14 ล้าน เรามีมูลค่าแค่ 14 ล้านสำหรับเขาใช่ไหม ก็เป็นสิ่งที่เสียใจ ที่เราตัดสินใจแบบนั้นไป เราเองก็ไม่ได้รอบคอบ 
 
-ส่วนประเด็นพาดพิงที่บอกว่าตามเงินคืนเพราะธุรกิจไม่ดี จริงๆ แล้วธุรกิจใครก็ไม่ดีทั้งนั้น ผมเองทำธุรกิจมานาน มีทั้งประสบความสำเร็จ และมีเจ๊งบ้าง แต่เรารู้ว่า เราไม่ได้กู้เงินมา ดอกเบี้ย 3 เปอร์เซ็นต์ แล้วเอาไปให้เขาเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ เราไม่ทำแบบนั้น เราจะรู้ว่าปีหน้าเราจะอยู่ยังไง เพียงแต่เงินก้อนนี้เขายืมไปภายใน 1 ปี ผมสแปร์เอาไว้ว่า 1 ปีนี้ผมจะเอาเงินนี้ไปลงทุนอันนี้ ถามว่าธุรกิจดีไหม ไม่ดีสักธุรกิจเลยนะครับ เงิน 14 ล้านก็เยอะ แต่ไม่ได้เยอะถึงขั้นทำให้ธุรกิจเรามีปัญหาครับ

-จากข่าวที่ออกไป มีคนไลน์มา เราก็ขอบคุณเขา คนที่หวังดีเขาอยากให้กำลังใจ แต่วัตถุประสงค์หลัก แค่คืนเงินมา และเป็นอุทาหรณ์ให้คนอื่น ทุกการกระทำต้องมีผลของมัน

-(หัวอกคนเป็นเจ้าหนี้ ไปทวงเขา ลำบากใจไหม?) ก็มีนะครับ

-ยอมรับว่าผมไม่ได้รอบคอบ เพราะเรื่องเอกสาร การเตรียมเช็ค ทุกอย่างเขาเตรียมเองทั้งหมด แต่หลักๆ คือมิตรภาพ ที่เราไว้ใจเพื่อน

-ด้าน “ขวัญ” ภรรยาเผยว่าสิ่งที่โพสต์ เพราะได้คุยกับภรรยาเขา เขาพูดตัดบททุกอย่าง พูดเข้าข้างตัวเอง ก็รู้สึกว่าไม่โอเค เขาพูดว่าถ้าพี่ขวัญไม่มีเงิน พี่ขวัญลำบาก พี่ขวัญก็ไปยืมเงินคนอื่นมาก่อนแล้วกัน แต่เราอยากทวงเงินของเราเอง นี่คือสิ่งที่โกรธ ทำไมพูดจาแบบนี้
 
-จริงๆ เราขอคุยกับไฮโซ ต. แต่เขาไม่คุย เขาให้ภรรยาโทร.มา เขาบอกว่าถ้าลำบากให้ไปยืมเงินคนอื่น เพราะเรามีชื่อ มีอะไรยืมได้อยู่แล้ว เราก็บอกว่านามสกุลใหญ่กว่าเราตั้งเยอะ ของเขายืมคนอื่นได้อยู่แล้ว ทำไมไม่ยืมคนอื่นแล้วมาคืนเรา ก็เป็นตรรกะที่งงเหมือนกัน

-เขาไม่รับผิดชอบ เขาพูดวนอยู่แบบเดิม อยากยืนยันว่าสัญญาเราคือสัญญากู้ยืมเงินเป็นบุคคล เราไม่ได้เอาไปลงทุน เขาเอาไปพูดเสมอว่าพี่ขวัญ พี่นัทเอาเงินไปลงทุน ในเมื่อธุรกิจมันไม่ดี เราจะเอาเงินออกไปได้ยังไง แต่เรายืนยันว่าเราไม่ได้เอาเงินไปลงทุน เขากู้ยืมเงิน เขาจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของเขา
 
-แล้วเขาก็พูดว่าเดี๋ยวคืนให้แค่ 5 ล้าน เอาไหมล่ะ ทำเสียงอย่างนี้ใส่ขวัญ ขวัญเลยไม่โอเค เหมือนเราจน แล้วอยากได้เงินคืน เลยโวยวายอยู่บ้านเดียว

-ส่วนเงิน 100 ล้านเป็นคดีก่อนหน้า ยอมรับในความผิดพลาด ความเชื่อใจและไว้ใจคนของขวัญ ขวัญก็ร้องไห้กับเขา นี่เป็นประเด็นที่ขวัญเสียใจ ขวัญเสียไป 97 ล้าน บวกกับของเขา 14 ล้าน เป็น 111 ล้าน ซึ่งภรรยา ไฮโซ ต. เขารู้ตลอด 97 ล้าน ขวัญร้องไห้เสียใจ เขาก็อยู่ตลอดในระหว่างที่ขวัญร้องไห้เสียใจ เขาคอยปลอบ และบอกว่าตัวเขาจะไม่มีวันทำแบบนี้กับขวัญ ยังจำได้ชัด แต่วันนี้เขาทำกับเราได้ยังไงในสิ่งที่เราเจอ เราไว้ใจมากว่าเขาจะไม่ทำเรา เขาก็รู้ว่า 97 ล้านผ่านมาจะ 3 ปี ยังไม่ได้อะไรเลยค่ะ กระบวนการยุติธรรมเขยิบไปทีละนิดๆ

-เราก็อยู่ของเราเงียบๆ พออยู่เงียบๆ เราก็คิดว่าเราโดนรังแกง่ายเกินไปหรือเปล่า สิ่งที่เขียนคือความจริงทั้งหมด เราควรพูดในความเป็นจริง เพื่อเราจะไม่อ่อนแออีกแล้ว

-97 ล้านขวัญทำธุรกิจ มันคือคนอื่น เป็นความเสียใจที่น้อยกว่า มันเจ็บใจว่าทำไมฉันไม่ฉลาดเลย นั่นเขาเป็นคนอื่น แต่นี่คือเพื่อนเรา ที่เราไว้ใจ

-ถามว่ายังหวังได้เงินคืนไหม หวังแล้วมันทุกข์ก็ไม่ค่อยอยากหวังเท่าไหร่

















กำลังโหลดความคิดเห็น