“บิณฑ์-เอกพันธ์” เผยนาทีสุดประทับใจในชีวิต เคยได้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทพระพันปีหลวง และทรงมีรับสั่งชมถึงพ่อแม่ว่าเลี้ยงลูกมาได้ดีมาก ทำเอาตื้นตันจนพูดไม่ออก
ได้มาเข้าร่วมกราบถวายบังคมพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวังเป็นครั้งแรก สำหรับสองพี่น้อง “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” และ “เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์” ที่มาพร้อมกับ “ทับทิม อัญรินทร์ ธีราธนันพัฒน์” แฟนสาว โดยบอกว่าตั้งใจจะมากราบพระบรมศพนานแล้ว แต่ที่ผ่านมาติดภารกิจน้ำท่วม แล้วก็ช่วยชายแดน
บิณฑ์ : “วันนี้เป็นวันที่เราตั้งใจมากราบพระบรมศพครับ กว่าจะหาคิวกันลงตัว เพราะที่ผ่านมาภารกิจของเราก็ทั้งน้ำท่วมเพิ่งเสร็จ แล้วก็ชายแดนต่อๆ กันมาเลย วันนี้ก็ถือว่าเราได้เข้ามาสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่พระองค์ทำให้กับพวกเรามาตั้ง 70 กว่าปีที่ผ่านมา วันนี้เราก็อยากจะเข้าไปกราบพระองค์ด้วยจิตสำนึก คือวันที่ประกาศตู้มขึ้นมาเราก็เสียใจ จุกอกขึ้นมาทันที”
ทับทิม : “ก็ตั้งใจอยากจะมานานหลายวันแล้ว แต่ด้วยภารกิจ โอกาสและเวลาต่างๆ เพิ่งลงตัวกัน รอบนี้ก็ถือว่าเราได้มาร่วมกันกับทางร่วมกตัญญูและบริษัท โคลิเซียม อินเตอร์ กรุ๊ป และคิดว่าน่าจะต้องมีครั้งต่อไปที่เราจะต้องมากับครอบครัวและญาติๆ เพราะคนที่บ้านก็อยากจะมาเหมือนกัน ก็คิดว่าน่าจะมีญาติๆ ที่จะมาจากต่างจังหวัดด้วย จะได้มาพร้อมกันอีกครั้งนึงค่ะ”
เอกพันธ์ : “วันนี้ก็ตั้งใจมากครับ ตั้งใจตั้งแต่วันแรกๆ แล้ว แต่ตอนนั้นเขายังไม่เปิดให้ทางพวกเราได้เข้า วันนี้ก็ถือเป็นโอกาสดีมากๆ ถือเป็นฤกษ์ที่เป็นมงคลที่ได้เข้ามาส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยนะครับ เพราะพระองค์ทรงทำเพื่อประชาชนชาวไทยมานานมาก เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ พอมีโอกาสเราก็ต้องมาส่งเสด็จ จริงๆ แล้วทางมูลนิธิร่วมกตัญญูก็ได้มาทำอาหารเลี้ยงให้กับประชาชนพสกนิกรของพระองค์ท่านตั้งแต่วันแรกๆ แล้ว วันนึงประมาณเป็นหมื่นกล่อง ทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ ทำทุกวันทั้งเช้า กลางวันและเย็น”
เผยเหตุการณ์ประทับใจ ได้ถวายงานใกล้ชิด
บิณฑ์ : “ผมเคยเข้าไปในพระที่นั่งวิมานเมฆ มีพระราชกระแสรับสั่งให้เข้าไปรับประทานอาหารกับพระองค์ เพราะพระองค์ทอดพระเนตรเห็นการทำงานในสิ่งที่เราเป็นจิตอาสาเพื่อพี่น้องประชาชน วันนึงพระองค์เสด็จฯ มาที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ก็เห็นผมขัดถูอยู่ตรงลานพระบรมรูป และมีประชาชนมากราบ พระองค์ทอดพระเนตรอยู่อย่างนี้ประมาณ 2-3 ปี ก็เลยมีพระราชกระแสรับสั่งให้เลขาฯ ของพระองค์มาถามว่าเป็นใคร พอพระองค์ทรงทราบว่าเป็นผม บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ จากนั้นประมาณสัก 2-3 เดือนก็มีพระราชกระแสรับสั่งเชิญให้เข้าไปที่พระที่นั่งวิมานเมฆ และพระองค์พระราชทานพระเกียรติแก่พวกเรามากเลย พระองค์ประทับหัวโต๊ะ เราก็ถัดออกมาอีก 2-3 คน แล้วก็มีทีมงานพวกผมอีก 20 กว่าคนได้นั่งพร้อมกันหมดเลย
เกร็งนะครับ พูดราชาศัพท์ไม่ได้เลย และที่สำคัญที่สุดเลยคือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เชิญร้องเพลงให้พระองค์ได้สดับ ร้องเพลงเสร็จก็เข้าไปกราบแทบพระบาท พระองค์ก็มีพระราชดำรัสชื่นชม และมีพระราชดำรัสชมคุณพ่อคุณแม่ที่เลี้ยงลูกมาดีมาก เราก็รู้สึกเป็นปลื้มมาก นั่นก็คือสิ่งที่เราประทับใจพระองค์มาก ตอนนั้นผมก็พูดไม่ออกเลย เหมือนมันจุก ก็ได้แต่มองพระพักตร์ พระองค์ก็มีพระราชดำรัสชมเราและมีพระราชดำรัสชมคุณพ่อคุณแม่ เพราะพระองค์ทอดพระเนตรเรามาตลอด เก็บศพบ้าง ไปโน่นไปนี่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชน”
เอกพันธ์ : “ส่วนของผมก็ได้เข้าเฝ้าฯ ในงานศพของ ดร.วินิจ วินิจนัยภาค ที่เป็นราชเลขาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เครื่องบินตกที่สุพรรณบุรี เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ผมเองได้ไปเจอศพดร.วินิจ ตอนนั้นไปกับพี่สมศักดิ์ ปาลวัฒน์ เป็นผู้จัดการมูลนิธิ แล้วก็ไปเจอแหวนเพชรวงใหญ่มากของภรรยาดร.วินิจ เพราะเลือดเขากลบอยู่กับแหวน ทำให้คนที่ไปดูเอาของศพอะไรต่างๆ มองไม่เห็นแหวน ทีนี้ผมไปดึงแขนท่านขึ้นมาก็สะดุดแหวน ผมก็เอาแหวนออกมา แล้วก็เอาผ้าชุบน้ำเช็ด ก็เลยเห็นว่าเป็นแหวนเพชรใหญ่มาก ผมก็เลยเก็บเอาไว้
แล้วทีนี้ทางพระราชวังก็มีพระราชกระแสรับสั่งให้รถมารับศพของดร.วินิจกับภรรยาและลูก ทั้งหมด 3 ราย ผมก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นคนสำคัญ ก็เลยเอาไปให้น้องเอี้ยง ซึ่งวันนั้นน้องเอี้ยงเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับดร.วินิจและภรรยา จึงรู้ว่าใส่ชุดอะไร ใส่เครื่องประดับอะไรบ้าง ผมก็เอาแหวนให้ดู และเขาก็จำได้ว่าแหวนวงนี้เป็นแหวนของภรรยาของดร.วินิจ เลยเอาคืนเขาไป ผมก็เลยไปงานศพของดร.วินิจ ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าในหลวง ร.๙ เสด็จพระราชดำเนินมากับสมเด็จพระพันหลวง พอพระสวด พระพันปีหลวงก็มีพระราชกระแสรับสั่งให้คนมาเชิญผมไปที่ประทับที่พระองค์ประทับ ผมตกใจมากว่าเรียกผมเหรอ และทุกคนในนั้นมีแต่รัฐมนตรีอะไรเยอะแยะมากมาย แล้วผมก็นั่งอยู่คนเดียวนะ พอเข้าไปพระองค์ก็มีพระราชดำรัสถามว่าเหตุการณ์เป็นยังไง เจอยังไง สภาพศพเป็นยังไง แล้วก็เรื่องแหวน สุดท้ายก็มีพระราชดำรัสชมคุณพ่อกับคุณแม่ผม ในหลวงร.๙ พระพันปีหลวงทรงมีพระราชดำรัสชมพี่น้องสองคนนี้ว่าคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงลูกยังไงให้ดีเหลือเกิน เราน้ำตาคลอเลย ตื้นตัน ไม่รู้จะพูดยังไง
แล้วตอนที่พระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินกลับ ท่านผู้หญิงคนหนึ่งก็มาเรียกให้ผมมาส่งเสด็จพระองค์ท่าน แล้วพระองค์ก็หยุดคุย มีพระราชดำรัสว่าขอบใจมากนะ ขอบใจจริงๆ พอพระองค์เสด็จพระราชดำเนินกลับเรียบร้อย ตอนนั้นนายกรัฐมนตรีคือท่านอานันท์ ปันยารชุน ก็มาถามผมว่า ขอโทษนะครับ คุณเป็นลูกชายของดร.วินิจเหรอครับ ผมก็บอกว่าไม่ใช่ครับ ผมไม่รู้จัก และลูกสาวท่านก็บอกว่านี่บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ไง เขาเป็นนักแสดง เป็นจิตอาสา เขาก็บอกว่าผมขอโทษ ผมไม่เคยดูทีวี เลยไม่รู้จัก (หัวเราะ) เพราะเขาเห็นพระองค์มีพระราชกระแสรับสั่งเรียกเข้าไปหา ก็เป็นอะไรที่ผมประทับใจมาก กับสิ่งที่เราทำโดยไม่ได้หวังอะไรต่างๆ มันก็ส่งผลให้เราได้ใกล้ชิด แต่ก็คาดไม่ถึงเลย”


