“ปาน ธนพร” เปิดใจครั้งแรกหลังสูญเสียคุณแม่ที่ป่วยติดเตียงนาน 23 ปี เผยความรู้สึกโล่งใจที่ท่านหมดทุกข์ทรมาน ยืนยันลูกทุกคนดูแลอย่างดีที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรติดค้างในใจ พร้อมทำหน้าที่ดูแลคุณพ่อวัย 90 ปีต่อไป ลั่นสัจธรรมบีบบังคับให้เข้าใจความสูญเสีย
“ปาน ธนพร แวกประยูร” นักร้องชื่อดัง สูญเสียคุณแม่ เมื่อวันที่ 28 ต.ค. จากอาการสโตรก 2 ครั้ง ต้องนอนป่วยติดเตียงเป็นเวลาถึง 23 ปี ก่อนมีพิธีพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 4 พ.ย. อย่างสมเกียรติ ล่าสุดปานได้เปิดใจย้อนเล่าเหตุการณ์ความสูญเสีย พร้อมเผยว่าลูกๆ ไม่รู้สึกว่ามีอะไรติดค้าง เพราะที่ผ่านมาดูแลคุณแม่อย่างดีที่สุดแล้ว
“คุณแม่เสียไปแล้ว เพิ่งจากไปวันที่ 28 ต.ค. ก็จัดการเรียบง่าย ขอพระราชทานเพลิงสพ และไม่ได้บอกใครได้มาก อาจไม่ได้กระจายข่าวเยอะ บอกเฉพาะคนที่เราสนิทจริงๆ จริงๆ ไม่ได้บอกใครด้วยซ้ำ แต่คนที่มาเขาไปบอกกันเอง เรารู้สึกเกรงใจ เพราะบ้านเมืองเรามีอะไรสูญเสียเยอะแล้ว เราก็รู้สึกว่าเราดูแลในส่วนของเราให้ดี ขอบคุณแขกเหรื่อทุกท่าน อาจไม่ได้ต้อนรับเต็มที่ ขอบคุณพวงหรีด เป็นเกียรติกับคุณแม่มาก
การดูแลคุณแม่ก็เป็นพื้นฐานมนุษย์ทุกคนพึงกระทำกับผู้มีพระคุณของเรา คุณพ่อ คุณแม่ ตลอดจนครูบาอาจารย์ ใครก็ตามที่เขามีบุญคุณกับเรา จะเล็กจะน้อยก็เป็นเรื่องที่ต้องตอบแทน อย่างพ่อแม่สำหรับเรา ยิ่งเราไปทางปฏิบัติธรรม เราจะรู้เลยว่าการเลี้ยงดูหรืออะไรอาจไม่ได้สำคัญเท่ากับเขาให้ร่างกายเรา มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากๆ เลย การได้ร่างกายมามันโคตรเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ มันทำให้เราได้เอาร่างกายไปทำอะไรได้อีกมากมาย การที่เขาแบ่งเลือดเนื้อของเขา จะโดยอะไรก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่สมควรแก่ที่เราต้องดูแลท่านให้เร็วที่สุด”
ป่วยติดเตียงนานถึง 23 ปี ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตไม่ยื้อ เพราะทรมานมากแล้ว
“เข้า 23 ปี ในการนอนติดเตียง จริงๆ แม่เริ่มจากเป็นเบาหวาน ความดัน เป็นสเต็ปของโรค พอสโตรกครั้งแรก เอากลับมาได้แล้วเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่โชคร้ายคือไปล้มสะโพกหัก พอสะโพกหักก็ทำให้การใช้ชีวิตไม่สนุก ต้องอยู่กับสะโพกที่ไม่แข็งแรง ต้องกายภาพ พออยู่ในลักษณะนี้ คนแก่เขาก็เบื่อ ก็คงจะกินอะไรไปเรื่อยๆ มันก็เกิดการสโตรกครั้งที่สอง ซึ่งการสโตรกครั้งนี้แหละที่ไม่สามารถเอากลับมาได้ จริงๆ หมอเตือนตั้งแต่ครั้งแรกว่าอย่าให้มีครั้งที่สองนะ เพราะถ้ามีครั้งทีสอง มันจะไม่สามารถแล้ว ซึ่งมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เท่ากับแม่นอนมา 22 ปี สำหรับการที่อยู่ติดเตียงแบบพูดไม่ได้ แต่รับทราบทุกอย่าง
ลูก 5 คน ลูกสาวหมด ทุกคนเต็มที่ เราสรรหาพี่เลี้ยงจนกว่าเราจะได้คนที่เขาเข้ากันจริงๆ จนถึงพี่เลี้ยงคนสุดท้าย อยู่กันมานานมาก 14 ปีที่ดูแลแม่ ดูแลแม่ดีมาก แม่ไม่มีแผลกดทับจนหมอชม เอาเป็นว่าทุกคนทำหน้าที่ลูกเต็มที่จริงๆ สำหรับบ้านเรา ถามว่าวันนี้แม่จากไปเราเศร้าไหม เราก็เศร้ากับความอาลัยอาวรณ์ที่เขาไม่มีร่างกายให้เราเห็นแล้ว ก็เป็นความผูกพันที่คิดถึงเฉยๆ แต่เราตกลงกันแล้วว่าถ้าแม่เขาจะไป ก็ให้แม่เขาไป เราตกลงกับหมอว่าเราไม่ปั๊ม ไม่เจาะ ไม่ยื้ออะไรทั้งสิ้น เขาทรมานมามากพอแล้ว เรารู้สึกว่าเขาใช้หนี้มามากแล้ว
ความรู้สึกแบบนี้ค่อยๆ ค่ะ ใช้คำว่าค่อยๆ ดีกว่า มันไม่สามารถทำได้ภายในวันสองวัน พี่ก็ใช้เวลามาเรื่อยๆ ค่อยๆ ปรับสภาพไปเรื่อยๆ จน 4-5 ปีหลังเราเห็นแม่เราถดถอยลงเรื่อยๆ เราก็เริ่มประเมินออกว่าแม่จะอยู่กับเราได้อีกเท่าไหร่ เราจะยื้อได้อีกกี่ครั้งนะ กับการที่ต้องวิ่งเข้าออกรพ. กับการต้องใช้ออกซิเจนแรงดันสูง อย่างสอดท่อก็ไม่อยากให้สอดเลย เพราะเขาจะเจ็บมาก เรารู้สึกว่าถ้าไม่ถึงขนาดนั้น เราไม่อยากให้ทำด้วยซ้ำ”
ดูแลพ่ออายุ 90 ต่อไปให้มีความสุข
“หลังจากนี้แผนชีวิตไม่มีอะไรเลย มันก็เดินต่อไป เขาก็อยู่ในใจเรา เรายังมีพ่อเราอีกคนที่ต้องดูแล พี่น้องเราก็กลมเกลียว แม่เป็นศูนย์กลางจักรวาลของบ้าน วันนี้เขาไม่อยู่แล้ว แต่เรายังเหลือพ่อ ก็ทำหน้าที่ลูกต่อ วันนี้พ่ออายุจะ 90 แล้ว ก็ดูแลเขาต่อให้มีความสุข เขาอยากทำอะไรให้เขาทำ แล้วก็ดูแลสุขภาพกันต่อไป”
ชี้คนเราอยากตายก็ไม่ได้ตายง่ายๆ เชื่อแม่ไม่อยากอยู่แล้ว แต่ยังไม่หมดเวลา
“ถามว่าแม่มีห่วงไหม เราไม่สามารถหยั่งเข้าไปในใจเขาได้ แต่ก็รู้สึกว่าเขาก็น่าจะเบื่อเต็มทีกับสภาพร่างกายที่เหมือนโดนขัง เป็นเราก็คงเบื่อ แต่คนเราอยากตายก็ไม่ได้ตายง่ายๆ ไง มันทำไม่ได้ เชื่อว่าแม่ก็คงไม่อยากอยู่ แต่ก็ต้องอยู่ มันยังไม่หมดเวลาของเขา เราก็เชื่อว่าเขาคงรู้สึกว่าโบยบิน สำหรับเรา เราก็บอกแม่ว่า ออกไปแม่ก็อิสระเลยนะ แม่บินเลย ที่บ้านจะพยายามให้เขาคิดไปเรื่องข้างหน้ามากกว่า”
สัจธรรมบีบบังคับให้เราเข้าใจ
“(เข้าใจสัจธรรมกับเรื่องนี้?) ต่อให้เราไม่เข้าใจสัจธรรมก็จะบีบบังคับให้เราเข้าใจอยู่ดี ฉะนั้นวันนี้ไม่ได้แปลว่าเราเข้าใจทะลุปรุโปร่ง แต่สัจธรรมบีบบังคับให้เรายังไงก็ต้องเข้าใจ ยูไม่อยากยอมรับ ยูก็ต้องยอมรับ เพราะเราไม่สามารถทำอะไรได้ เราเป็นเพียงมนุษย์ที่มาอาศัยโลก เขาก็สอนเราด้วยเรื่องแบบนี้
สภาพจิตใจ มีทั้งความโล่งใจตรงที่เขาจะไม่เจ็บแล้ว แต่ก็มีบ้าง หวนระลึกคิดถึงเขานะ วันสองวันแรกกลับมายังดูรูปร้องไห้อยู่ คิดถึงเขา ขนาดว่าเรามีเวลาเตรียมใจมาขนาดนี้ มีเวลาดูแลเขาขนาดนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่จะไม่ค้างในใจลูกทุกคนเลยคือทุกคนไม่รู้สึกติดค้าง คำว่ารู้อย่างนี้ ไม่มี เพราะที่บ้านเราทำเต็มที่จริงๆ เราไม่มี question mark ว่าวันนั้นฉันน่าจะอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่มีแล้ว เพราะทุกคนมันสุดกำลังจริงๆ”
พ่อเสียใจ เพราะสูญเสียคู่ชีวิต
“คุณพ่อก็คงเสียใจแหละ คู่ชีวิตก็ไม่เหมือนลูก คุณพ่อก็มีคิดถึงบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่เขาก็ทำใจเหมือนกัน เพราะเห็นกันมาตลอดว่าแม่นอนแบบนี้ จริงๆ พ่อก็น่าจะถามกับพี่คนอื่นๆ กับเราเขาก็ไม่ได้อะไรมาก จริงๆ ทุกคนก็ไม่ได้อยากให้เขาวนกลับไปที่เดิม เราอยากพาเขาไปต่อดีกว่า”


