xs
xsm
sm
md
lg

วันนี้ผมพร้อมเล่า! “แพทริคอนันดา” นาทีน่ากลัวที่สุดในชีวิต ยืนบนดาดฟ้าคิดฆ่าตัวตาย ไม่กินข้าว กินแต่เหล้า 2 ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“แพทริคอนันดา” หรือ “อนันดา ชื่นสมทรง” ศิลปินอินดี้ป๊อปชื่อดัง หนุ่มไทยเชื้อสายนิวซีแลนด์มากความสามารถ ชีวิตเคยรุ่งโรจน์แต่พังเพียงชั่วข้ามคืน จากมรสุมข่าวฉาวเกี่ยวกับความสัมพันธ์และความรุนแรง แม้ภายหลังอดีตแฟนสาวออกมายอมรับว่าโกหกก็ตาม แต่ภาพลักษณ์ของเขาได้ถูกทำลายอย่างหนัก จนนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าขั้นรุนแรง และคิดจบชีวิตตัวเอง แพทริคอนันดาเงียบหายไป 2 ปี วันนี้เขาพร้อมเปิดใจกับเรา

“ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย แต่วันนี้ผมพร้อมเล่าแล้ว

ผมเจอมรสุมชีวิตมาช่วงนึง ไม่ได้ทำงาน ไม่ได้ทำเพลงนานมาก เพิ่งได้กลับมาดูแลสุขภาพตัวเองอีกครั้ง ช่วงนั้นก็แย่ไปเลย ผมติดแอลกอฮอล์ ไม่ทานข้าวเลยสองปี ตื่นเช้ามากินแค่ข้าวปั้นเซเว่นอันนึง แล้วที่เหลือคือโซจู แอลกอฮอล์อย่างเดียวเลย 
 
เพราะข่าวนั้น ผมก็ทรุดไปเลย สภาพจิตใจก็แย่ เป็นซึมเศร้าขั้นรุนแรง ต้องเข้าพบแพทย์ ต้องทานยา ทุกวันนี้ก็ต้องทานยา แต่ดีขึ้นเยอะแล้วครับ”

ถึงขั้นคิดลาโลก เขียนจดหมายสั่งลา ยืนบนดาดฟ้า โอนเงินล้านให้ครอบครัว

“พอข่าวออกมา ตอนนั้นคิดว่าจะไม่เอาชีวิตนี้แล้ว ถ้าพูดตามตรงนะ ผมจะไปแล้ว ผมไปยืนดาดฟ้าคอนโดแล้ว โอนเงินทั้งหมดไปให้ครอบครัว แล้วก็เขียนจดหมายสั่งลาพี่ๆ เพื่อนๆ ที่สนิททุกคน บอกว่ารักทุกคนนะ แต่แพทริคคิดว่าแพทริคอยู่ไม่ได้แล้ว

ความคิดนี้มาตอนประมาณ 4-5 วันหลังเป็นข่าว ตอนที่เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ พอเริ่มขึ้นเทรนด์ ผมเข้าแอปฯ ไหนก็ตาม โดนด่าทุกแอปฯ ขนาดปู่ย่าผมไม่เล่นโซเชียล เปิดรายการเรื่องเล่าเช้านี้มา ก็เจอหลานตัวเอง ปู่ย่าผม คนแก่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็ร้องไห้เสียใจ ว่าทำไมทุกคนมาด่าหลานตัวเอง

ตอนนั้นผมโดนทัวร์ลงตั้งแต่ยังไม่ได้ออกมาพูดอะไรเลย ผมโดนด่าตั้งแต่ยังไม่ทันได้ออกมาพูดอะไรเลย ทั้งที่หลักฐานก็ไม่มี เพราะผมไม่ได้ทำอะไรเลย ผมโดนด่าไปแล้ว ‘ไม่อยากบอกว่าเขาปรักปรำ แต่มันไม่ใช่เรื่องจริง’ ผมเป็นเด็กธรรมดามาตลอด แค่มีชื่อเสียงชั่วข้ามคืนเพราะมีเพลงหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมไม่เคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อนในชีวิต

ไม่เคยนึกว่าจะมีวันไหนที่ตื่นมาแล้วไม่ว่าจะเข้าเฟซบุ๊ก ติ๊กต๊อก ไอจี ทวิตเตอร์ หรือแม้แต่เปิดทีวี ทุกคนด่าผมหมดเลย แล้วคำที่เขาใช้กับผม ทุกสิ่งที่เกิดในโลกโซเชียลตอนนั้น ‘ทุกคนไล่ผมไปตาย’

มีอันนึงที่ผมจำได้ไม่ลืมเลย น้องเขาเป็นแฟนคลับ แล้วชอบผลงาน ชอบผมมาก เขาลงทวิตเตอร์ว่าเคยชอบพี่แพทริคอนันดา แกะกีต้าร์เพลงพี่ทุกเพลง แต่เขาเพิ่งมารู้ว่าที่จริงผมก็เป็นแค่ขยะสังคม

นี่แค่หนึ่งคอมเมนต์จากไม่รู้กี่แสนคอมเมนต์ แต่ตอนนั้นแค่คอมเมนต์อันนี้ ผมทรุดไปเลย!
 
ผมโดนด่าหนักมาก แฟนคลับเอาเสื้อมาเผา ลองนึกภาพวันนึงทุกคนรักมาก ทุกคนชอบเพลงเรามาก แต่ตื่นมาอีกวัน ทุกคนโคตรเกลียดเรา

ผมจำได้เลย ผมอยู่คอนโดชั้น 20 วันที่ 4-5 ที่ขึ้นเทรนด์อยู่ ผมนั่งอ่านเขาไล่ให้ผมไปตาย จนผมคิดว่า งั้นไปก็ได้ บอกให้ผมไปตายใช่ไหม ไปก็ได้

ผมไปยืนดาดฟ้าคอนโด เป็นภาพที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตแล้ว กินไวน์ 2 ขวด กับบุหรี่ เมามากๆ วันนั้น เตรียมตัวให้เมาที่สุด เพื่อไม่ให้รับรู้อะไรแล้ว เอากีต้าร์ตัวโปรดไปด้วยตัวนึง ตอนนั้นคิดไว้หมดแล้ว ว่าจะโดดพร้อมกับอะไรบ้าง จะทำอะไรบ้าง จะโอนเงินให้ใครบ้าง ขึ้นดาดฟ้าเสร็จเมาเต็มที่เลย ถือกีต้าร์ตัวนึง ร้องไห้จะเป็นจะตาย

ไม่น่าเชื่อเลยว่าความฝันทั้งหมดที่เราทำมา จบแล้วว่ะ ไม่น่าเชื่อว่าจะจบแบบที่เรามาโดดดาดฟ้าแบบนี้ ก็เสียใจมาก โอนเงินทั้งหมดให้ที่บ้าน รายได้ทั้งหมดที่เคยได้มา กี่ล้านก็โอนให้ที่บ้านหมดเลย แล้วไลน์หาพี่ๆ ทุกคน ที่สำคัญกับผมในชีวิต พี่ๆ เพื่อนๆ ที่ทำงาน โปรดิวเซอร์ต่างๆ บอกว่ารักพวกนี่นะ แต่ไม่ไหวแล้ว ขอไปก่อนแล้วกัน
 
ผมก็ยืนตรงขอบระเบียงตึกแล้ว ถ้าก้าวไปก็คือพ้นแล้ว!”

นาทีเป็นนาทีตาย หน้าปู่ย่าและความฝันของตัวเองแว็บเข้ามาให้ฉุกคิด

“เหมือนมีภาพเข้ามาในหัว เห็นอนาคต ความฝันคืออยากมีครอบครัว อยากมีแฟน อยากมีลูก อยากมีครอบครัวเป็นของตัวเอง มีภาพแว็บเข้ามาในหัว แล้วถ้าผมตัดสินใจโดดตอนนี้ มันจะไม่เห็นภาพนี้ในชีวิตจริงแล้วนะ ผมก็เชี่ย เอาไงดีวะ แล้วก็หายใจ แล้วก็ถอย เพราะอยากเห็นภาพนั้น
 
ถ้าพูดตามตรงคือผมโตมาในบ้านที่ไม่ได้อบอุ่นมาก โตมากับปู่ย่า พ่อแม่เลิกกันตั้งแต่ผมเกิด ตั้งแต่ขวบนึง ปู่ย่าเอามาเลี้ยงจนโต ปู่ย่าส่งเรียน อยู่กับปู่ย่ามาตลอด 3 คน จนวันที่ผมเข้าวงการ ปู่ย่าก็เกษียณแล้ว คนส่งที่บ้านก็เป็นผม เพราะคุณปู่คุณย่าไม่ทำงานแล้ว

ตอนนั้นคิดว่าถ้าผมไม่อยู่ ก็จะไม่มีใครดูแลคนสองคนนี้ ผมทำไม่ได้ ผมรู้ว่าถ้าผมตายไปวันนั้น ทุกอย่างมันแย่แน่ๆ ปู่ย่าต้องแย่แน่ๆ ผมก็เลยเดินกลับมา ผมไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย ที่ผ่านมามันเล่าไม่ได้ ผมพูดไม่ออกว่าตอนนั้นผมจะจบชีวิตตัวเองแล้ว ผมไม่กล้าพูด”

2 ปีทนอยู่กับสิ่งที่ต้องเจอ

“ทุกวันนี้ผมยังโดนด่าอยู่นะ ไม่ได้ชิล แต่ก็ทำความเข้าใจได้แล้วว่าคงเป็นพาร์ตนึงในชีวิตไปอีกสักพักเลย หรืออาจตลอดไปก็ได้ ผมก็เหมือนกับทำใจกับสิ่งนี้ได้แล้ว ผมเลือกมาเส้นทางนี้เอง และวางตัวไม่ดีเองในตอนแรก จนมันเป็นเรื่องอะไรอย่างนั้น

สิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตัวผมเองด้วย เมื่อก่อนผมก็เกเร ถ้าใครถามผมก็ยอมรับว่าเมื่อก่อนเกเรจริง ไม่ว่าเรื่องเที่ยว หรือเรื่องชู้สาว ผมไม่ค้านเลย ข่าวในส่วนของความเจ้าชู้ตอนนั้นก็เป็นเรื่องจริง แต่เรื่องอื่นไม่ใช่ เรื่องทำร้ายร่างกายไม่เคยเกิดขึ้นเลย

อันนี้ก็เป็นปมอันนึงที่ติดตัวผมอยู่นะ เพราะที่บ้านผมไม่เคยใช้ความรุนแรง ผมก็ไม่เคยใช้ความรุนแรงกับแฟนคนไหนเลยในชีวิตผมตั้งแต่เกิดมา ผมยังไม่เคยชกใครเลย ผมไม่กล้าชกใครด้วยซ้ำ ผมกลัวเขาเจ็บ

ผมรู้สึกแย่มากที่โดนตราหน้าว่าเป็นผู้ชายหัวรุนแรง ผมไม่แก้ตัว แค่อยากจะพูด ถ้าผมเป็นคนจิตใจอำมหิตจริงๆ พี่ว่าผมจะเขียนเพลงรักที่เขียนให้ผู้หญิงได้จริงๆ เหรอ ทุกเพลงที่ผมเขียน เขียนจากความรักที่ผมมีจริงๆ ให้กับคนนั้น คนนี้ ผมทำอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ แต่ก็นั่นแหละ มันก็เซ็งที่สายตาคนมองเปลี่ยนไปจากข่าวนี้ ผมไม่รู้เหมือนกัน ผมอาจคิดไปเองก็ได้ เขาอาจไม่ได้คิดอะไรก็ได้ มันเกิดความระแวง”

ติดแอลกอฮอล์ เป็นซึมเศร้าขั้นรุนแรง หมกตัวอยู่แต่ในห้อง 2 ปี ไม่กล้าออกไปเจอหน้าผู้คน

“ตอนนั้นเป็นซึมเศร้าขั้นรุนแรง หมอวินิจฉัยนะครับ เป็นขั้นรุนแรง ต้องกินยา ผมนอนไม่หลับสักวันเลย พอมีชื่อเราขึ้นทวิตเตอร์ไม่รู้จะหลับยังไง แล้วปีนั้นก็ยังโดนด่าทั้งปี ชีวิตพลิกเลย

ผมอยู่ในห้องคอนโด ไม่เคยมีสติเลยทั้งปี เพราะตั้งใจทำให้ตัวเองมึนเมาตลอดเวลา เพราะไม่อยากรับรู้อะไรเลย ไม่อยากมีสติ รับรู้อะไรเลย

ตอนนั้นไม่ได้อยู่ที่บ้าน ไม่ให้เขารู้เลยว่าเราเป็นยังไงบ้าง ตอนนั้นผมแย่มากๆ ไม่อยากให้ปู่ย่ารู้ ไม่ได้บอกอะไรเขาเลย เมาอยู่ที่คอนโดทุกวัน ข้าวไม่กิน เขาติดต่อมาผมก็ไม่รับสาย ไม่รับสายใครเลย ไม่ออกไปไหนเลยเกือบ 2 ปี เก็บตัว ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ ออกไปแล้วแพนิก กังวลกับสายตา ใช้ชีวิตไม่ได้ ไม่มีความสุขเลย

นี่ยังไม่เข้ากระบวนการไปขึ้นศาลเลยนะครับ ผมไปขึ้นศาลเสียเงินไปล้านนึง ศาลตัดสินว่าผู้หญิงแค่ระบายความรู้สึก ไม่ใช่การหมิ่นประมาท ผมกับทนายก็ตกใจกับผลการตัดสิน เพราะมองว่ายังไงมันก็หมิ่นประมาท ซึ่งการตัดสินทำให้ผมทรุดลงอีกรอบ

ตอนชีวิตมันล้ม ผมก็กลับไปบอกที่บ้านว่าผมจะย้ายไปอยู่นิวซีแลนด์ บอกย่าไปว่าจะไปอยู่ที่อื่นแล้ว คุณย่าก็ร้องไห้ บอกว่าไม่นึกว่าจะมาถึงจุดที่หลานจะเลิกทำตามแพสชั่นตัวเองแล้ว

แต่ผมมาฉุกใจคิดอีกรอบ ผมรักดนตรีมาก ผมร้องเพลงมาตั้งแต่ 7 ขวบ ตอนนั้นก็ร้องไห้ ไม่นึกว่าต้องมาเลิกตอนตัวเองอายุ 27 เอาจริงๆ ผมท้อ แต่เป็นคนที่ไม่ยอม ผมนั่งคุยกับตัวเองเยอะ โอเค ชีวิตแม่xพังไปแล้วรอบนึง แต่เราก็ยังไม่ได้แก่มากหรือเปล่าวะ เราเริ่มใหม่ตอน 28 ยังได้ไหม เลยตัดสินใจเอาใหม่ก็ได้

เราไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่เริ่มจากติดลบ ผมดื่มเหล้าจนเสียงพังเลย ร้องเพลงไม่ได้ ก็เริ่มจากเลิกแอลกอฮอล์ก่อน แล้วออกกำลังกาย ไปเทรนด์กับเทรนเนอร์ แล้วเหมือนทุกอย่างดีขึ้น พอสุขภาพดีขึ้นก็อยากทำอะไรมากขึ้น”

ชีวิตเริ่มกลับมามีแสงสว่าง

“พอต้นปีที่ผ่านมา มีงานแสดงเข้ามา งานซีรีส์ของทรู เขาติดต่อมา ผมเคยไปแคสหลายเรื่องแต่ไม่ได้ ผมคิดว่าเรื่องนี้ผมก็คงไม่ได้หรอกมั้ง แต่สรุปว่าได้ ก็ไปเรียนแอ็กติ้ง เป็นครั้งแรกที่ไปเรียนอยู่ 3-4 เดือน ชอบ หลังจากนั้นรู้สึกมีชีวิตชีวา ได้มาทำกิจกรรมที่เราไม่เคยทำมาก่อน จากนั้นเลยกลายเป็นว่าผมลองทำทุกอย่าง ไปเรียนเต้น ไปเรียนวาดรูป ฝึกตัดต่อวิดีโอ เหมือนชีวิตอาจไม่จบก็ได้นะ เรายังไปได้ ในเส้นทางดนตรีอาจโดนชัตดาวน์ไปแล้ว แต่มันยังมีทางอื่นหรือเปล่า ยังเชื่อว่ามีทางอื่นไปต่อได้
 
ทุกวันนี้ก็ออกมาซ้อมดนตรีทุกวัน ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ หันหลังให้ไลฟ์สไตล์เดิมๆ ไม่เที่ยวกลางคืนแล้ว ผมมีความเกเรอย่างนึงคือเราไม่ค่อยฟังใคร ตั้งแต่เด็ก เวลาใครเตือนไม่ค่อยฟัง มันก็เลยเป็นอย่างที่เป็น ผมเป็นคนที่ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ไม่โดนปั้งสักทีก็จะคิดไม่ได้สักที แต่ปั้งนั้น ผมคิดได้เลย
 
วันนี้ผมมองว่ามันก็มีส่วนที่ผมผิดเหมือนกัน ในเรื่องความเป็นเด็กเกเรตอนนั้น ก็เป็นผลของการกระทำ เข้าใจและยอมรับ หลังเกิดเรื่องมา 2 ปี ผมติดแอลกอฮอล์ คือการที่ผมหนีปัญหา หนีๆๆ จนวันนึงมีคนบอกผมว่าเราต้องไม่หนีปัญหา เราต้องพุ่งชนเข้าใส่มัน ปัญหามันถึงจะหายไป
 
ผมจบเขียนข่าวมา เรียนวารสาร ไปเขียนข่าวก็ได้ แต่รักดนตรีจริงๆ ก็ปรับมายด์เซ็ตตัวเองว่ามันอาจไม่สำคัญหรือเปล่า ว่าเรามีแฟนคลับรอฟังอยู่แค่ไหน ถ้าเราเป็นศิลปิน เรามีหน้าที่สร้างสรรค์ผลงาน บวกกับได้มาศึกษาปรัชญาสโตอิก แนวคิดกรีกโบราณเพื่อการมีชีวิตที่ดี สอนให้เราโฟกัสในสิ่งที่เราควบคุมได้ อะไรที่ควบคุมไม่ได้ไม่ต้องคิด สิ่งที่ผมควบคุมได้คือการฝึกซ้อมดนตรี การทำงานของเราเอง สิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ คือที่คนอื่นมาด่าผม คอมเมนต์ต่างๆ ไม่ใช่ผมโนสนโนแคร์ เราแค่ไม่โฟกัสกับสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้”

ไม่คิดว่าจะได้กลับมาทำเพลงอีกครั้ง

“เพลงที่ปล่อยออกมาทั้งหมด เกิดจากเราในช่วงเวลานั้น มีหลายเรื่อง ส่วนมากเป็นความรัก แต่เป็นความรักที่ลึกลง ในอัลบั้มนี้ค่อนข้างเป็นสีสว่าง มีเพลงรักค่อนข้างเยอะ เป็นเพลงขอบคุณความรัก ที่ผมกลับมาได้ ก็เป็นเพราะความรัก ความรักที่ผมมีช่วยผมได้จริงๆ

เราเชื่อในสิ่งที่เราทำได้ คนจะฟังไหม เพลงจะดังไหม มันเป็นส่วนมาร์เก็ตติ้ง ผมก็ทำได้แค่ในส่วนของทำเพลง ผมทำได้แค่ทำเพลงให้ดีที่สุดในฐานะศิลปิน

ฟังเพลงตัวเองตอนนี้ หลังผ่านอะไรมา มันต่างกันมากเลยครับ ณ วันนึงที่ผมคิดแบบนี้ได้ พอวันที่เราอยู่ต่ำที่สุดแล้ว มันไม่มีต่ำไปกว่านี้อีกแล้ว หลังจากนี้มันจะมีขึ้นอย่างเดียวแล้ว ถ้าเราอยู่จุดต่ำที่สุดในชีวิตแล้ว ก็จะไม่ต่ำกว่านี้แล้ว หลังจากนี้ก็เป็นสิทธิ์ของผมที่จะทำอะไรก็ได้แล้ว ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องดีที่แฟนคลับหายไปหมดเลย แต่ถ้าทุกอย่างเหมือนเริ่มใหม่ ก็เริ่มใหม่ก็ได้

รอบนี้ผมเริ่มใหม่ในชุดความคิดที่โตขึ้นแล้ว ผมยังเชื่อในความรัก หลังๆ ผมได้มาศึกษาศาสนาคริสต์ พระคริสต์บอกว่าความรักคือศูนย์กลางทุกอย่าง ที่ทุกอย่างเกิดมาได้ ย้อนกลับไปตั้งแต่พระเจ้าสร้างโลก เขาก็สร้างขึ้นมาด้วยความรัก สร้างมนุษย์ สร้างสัตว์ สร้างธรรมชาติขึ้นมาด้วยความรัก ผมก็เลยกลับมาหาความรักที่แท้จริง ถ้าถามผมคือความรักจากครอบครัว มันเพียวที่สุดแล้วตั้งแต่แรก เกิดมาที่บ้านก็รักเราแล้ว ไม่ใช่ว่าเรามาเป็นดาราแล้วคนถึงมารักเรา มันต่างกัน มันเป็นรักที่บริสุทธิ์

พอผมผ่านเรื่องแย่ๆ มา ผมมองชีวิตได้ชัดเจนขึ้น

อัลบั้มผมจะมีทั้งหมด 21 เพลง ยังเสร็จไม่หมด แต่มีเดโม่ครบแล้ว เสร็จไปแล้วประมาณ 7 ทยอยปล่อยทีละซิงเกิ้ล คิดว่าจะปล่อยไป 6-7 ซิงเกิ้ล แล้วค่อยออกมาทั้งหมด ยังวางแผนมาร์เก็ตติ้งกันอยู่ แต่ต้องวางแผนยาวถึงปีหน้า ถ้าตามความตั้งใจผม อัลบั้มจะมาเดือนเกิด เดือนเม.ย. ปีหน้า เผลอ ๆ อาจยืดออกไปได้อีก ต้องคุยกับทีมด้วย

การกลับมาครั้งนี้ ไม่หวังอะไรเลย รอบนี้คือมายด์เซ็ตเปลี่ยนไปแล้ว ได้มีโอกาสไปเขียนเพลงกับพี่บอย โกสิยพงษ์ด้วย พี่บอยเป็นคริสต์ เป็นช่วงผมสนใจเรื่องคริสต์ พอได้คุยกับพี่บอย พี่บอยบอกว่าผลงานทั้งหมดที่เราเขียน เพลงทั้งหมดที่เราทำ ไม่ได้มาจากเรานะ เราเป็นแค่ตัวกลาง พระเจ้าเป็นคนส่งทุกอย่างมาให้เรา

สำหรับผมเด็กที่ไม่มีศาสนา ที่บ้านนับถือพุทธ แต่ผมไม่ชอบไปวัด ไม่ได้สนใจศาสนาด้วย แต่พอเจอเรื่องแย่ๆ เราต้องการแสงสว่าง ที่พึ่งทางจิตใจ ผมเริ่มศึกษาศาสนาคริสต์ เริ่มซื้อไบเบิ้ลมาอ่านเอง แต่ยังไม่ได้เริ่มเข้าโบสถ์ เพราะไม่มีเวลา แต่ได้เจอพี่บอย ก็ถามพี่บอยก่อนว่าคริสต์คืออะไร พี่บอยบอกว่าให้เชื่อว่าท่านมีอยู่จริง สเต็ปแรกก็ไม่ง่ายแล้ว ด้วยความเด็กรุ่นผม จะไม่ค่อยเชื่ออะไรที่มองไม่เห็น ผมเป็นคนวิทยาศาสตร์มากๆ ผมไม่เชื่อเรื่องผี ไม่เชื่อเรื่องดูดวง แต่ผมเชื่อในคำสอนที่ดีนะ พี่บอยพูดมาอย่างนึงว่า เขาไม่เคยคิดว่าเพลงที่เขาเขียนมันมาจากเขาเลย มันมาจากเบื้องบน พอคิดแบบนี้ ใจเขามันเบา สบาย เพราะไม่มีความกดดัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้เชื่อว่าท่านจะนำพาเราไปในทางที่ดี

ตอนนี้ให้ชีวิตนำพาไป ผมแค่เชื่อว่าถ้าเราตั้งใจทำในสิ่งที่เราทำมากพอ และเราตั้งใจกับมันจริงๆ ผมเชื่อว่าคนอื่นจะสัมผัสได้ ฟีดแบ็กดังหรือไม่ดังผมไม่ได้คิดแล้ว ทำเต็มที่ที่สุด ผมก็เคยคิดว่าถ้าไม่มีใครฟังแล้วจะทำทำไม ตอนนี้ก็ไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว คิดว่าทำไมเราไม่ทำให้มันดีที่สุด แล้วไม่ต้องมาเสียดาย ถ้าเราทำเต็มที่แล้วก็น่าจะแฮปปี้แล้ว ก็กลายเป็นว่าผมใส่เต็มทุกเพลง

ผมโชคดีที่ได้กลับมายืนอีกครั้ง ไม่คิดว่าจะได้กลับมาเล่นคอนเสิร์ตด้วยซ้ำ ผมเกือบร้องไห้เหมือนกันนะ ตอนมองไปแล้วเห็นแฟนคลับกลับมา ไม่นึกว่าจะมีใครกลับมาฟังแล้ว ผมก็รู้สึกเหมือนมีความหวังอะไรบางอย่าง ถ้าเราตั้งใจทำมันจริงๆ ทุกอย่างจะกลับมาได้”





















กำลังโหลดความคิดเห็น