“โอ๊ต วรวุฒิ” กลับมารับงานเต็มตัว หาเงินเลี้ยงลูก หัวใจมีแต่ลูก รอโตก่อนพ่อค่อยลั้ลลา ประกาศขายทุกอย่าง หาเงินใช้หนี้-หมุนธุรกิจ เหตุปะทะชายแดนทำธุรกิจได้รับผลกระทบ โอดภาระเหนื่อยและหนัก แต่ยังไหว ชีวิตนี้อยู่เพื่อลูก พร้อมสู้เต็มที่ ฝากรัฐบาลต้องเด็ดขาด เอาให้จบๆ อย่ายืดเยื้อ
ประกาศกลับมารับงานเต็มตัวอีกครั้งแล้ว สำหรับ “โอ๊ต วรวุฒิ นิยมทรัพย์”หลังหายไปเลี้ยงลูกอยู่ 5-6 ปี โดยล่าสุดวันนี้ (9 ธ.ค.) เจ้าตัวได้เปิดใจกับสื่อ หลังมาร่วมงาน Grand opening The Clinique Hair Center ณ Siam Square One ชั้น 3 ว่าพร้อมรับงานแล้ว จ้างได้ เนื่องจากตอนนี้ต้องดูแลลูกๆ แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ และธุรกิจโรงแรมที่บุรีรัมย์ ก็ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ปะทะที่ชายแดน ไทย-กัมพูชา ทำให้รายจ่ายเยอะกว่ารายรับไปมาก
“เพิ่งกลับมารับละคร ตอนนี้มีละครอยู่ 2 เรื่อง ของค่ายโมโนเรื่องหนึ่ง และของ คุณก้อง ปิยะ (ปิยะ เศวตพิกุล) เรื่องหนึ่ง หายจากงานละครมาเลี้ยงลูกไง น่าจะ 5-6 ปีได้ ที่ผมเลี้ยงลูกเหนื่อยเลย คิดถึงงานละคร ตอนนี้ลูกก็โตขึ้นแล้ว ก็เริ่มกลับมารับละครได้แล้ว คือผมเลี้ยงลูกเอง ไม่มีพี่เลี้ยง เลยต้องรับหน้าที่พ่อที่เลี้ยงลูกเอง ตอนเช้าก็ต้องทำอาหาร ไปรับ-ไปส่งโรงเรียน เอาลูกเข้านอน รูทีนชีวิตก็เป็นอย่างนี้ครับ ไม่ได้ทำอะไรเลย ตอนนี้ลูกก็โตแล้ว พอที่จะไปอยู่กับคนอื่นได้บ้าง เวลาไปถ่ายละครก็ฝากแม่เขาไว้ได้บ้าง”
ลูกโอเคที่พ่อไปทำงาน แต่พ่อไม่โอเค ที่ต้องห่างลูก
“ลูกโอเค แต่เราไม่ค่อยโอเค แต่ก่อนทำงานเสร็จก็อาจจะมีไปเที่ยวต่อ เดี๋ยวนี้ทำงานเสร็จก็กลับบ้านเลยครับ ลูกไม่รู้ติดเราหรือเปล่า แต่เราติดลูกแน่นอน แค่ลูกไปโรงเรียนผมก็เหงาแล้ว”
รับเหงา แต่หัวใจมีแต่ลูก รอให้โตก่อนพ่อค่อยลั้ลลา
“หัวใจตอนนี้มีแต่ลูก ไม่มีอะไรเลย คือจริงๆ ก็เหงาอยู่นะครับ แค่ว่าก็ให้เวลากับลูกไปก่อน เขาบอกว่าลูกจะอยู่ใกล้ชิดกับเราแค่ 10-12 ขวบ เดี๋ยวเขาก็จะมีโลกส่วนของเขาเพิ่มขึ้น เราเลยหวงเวลานี้ไว้อยู่กับลูกก่อน เดี๋ยวพอลูกโตแล้วเราค่อยลั้ลลา”
เป็นการตัดสินใจร่วมกันทุกอย่าง ให้ลูกเป็นหนึ่งเสียงโหวตในครอบครัว
“ตัดสินใจร่วมกัน คือครอบครัวผมตอนนี้ สภาพของครอบครัวของเรา ก็ต้องยอมรับว่าเราแยกกับคุณแม่เขา เราก็เลยเป็นคุณพ่อที่เลี้ยงลูกเอง ฉะนั้นลูกจะอยู่กับผม 24 ชั่วโมง เวลาที่จะตัดสินใจทำอะไร เราก็จะปรึกษาลูกด้วย ลูกพอที่จะรับรู้หลายๆ อย่าง แล้วเขาก็มีความคิด เราก็ให้อิสรภาพในการตัดสินใจของเขา ให้เขาเป็นหนึ่งเสียงในครอบครัว โหวตได้”
อธิบายตรงๆ ว่าพ่อแม่ไม่ได้เป็นสามีภรรยากันแล้ว
“อธิบายตรงๆ เลย ผมว่าเดี๋ยวนี้เด็กฉลาดนะครับ เวลาเขาไปโรงเรียน ไปข้างนอก เขารับข่าวสาร รับรู้เรื่องราวต่างๆ มา บางทีเรายังมีความรู้สึกเลยว่า ทำไมลูกเราโตกว่าที่เราคิดนะ เขาโต เขารู้เรื่อง บางทีคุยอะไรเราไม่คิดว่าลูกเราจะรู้เรื่อง แต่เขารู้ มีปัญหาอะไรหลายๆ อย่าง บางทีเราก็ปรึกษาเขาได้ด้วย”
ปรึกษาลูกก่อนที่จะเป็นข่าวอีก
“บอกนานแล้ว บอกก่อนที่จะเป็นข่าวอีก เราปรึกษากันก่อน ค่อยๆ ถามว่าถ้าพี่กับแม่เป็นเพื่อนกันอย่างเดียว ไม่ได้เป็นสามีภรรยากันแล้ว ลูกโอเคไหม แรกๆ เขาก็มีปฏิกิริยาบ้าง เขาไม่อยากให้พ่อกับแม่แยกกัน แต่ว่าพอเราค่อยๆ อธิบายให้เขาเข้าใจ เขาก็โอเคเข้าใจ พอคุณแม่เขามีเวลา ก็มารับไปเที่ยวบ้าง ไปโน่นไปนี่บ้าง ก็ดีอย่างนะครับ เพราะผมเองมีปัญหาเรื่องของสุขภาพ เรื่องของกระดูกสันหลัง ก็อาจจะพาลูกไปโลดโผนมากไม่ได้ คุณแม่เขาก็รับหน้าที่ไป”
รับหน้าที่ดูแลลูกๆ แบบร้อยเปอร์เซ็นต์
“ร้อยเปอร์เซ็นต์ในการเลี้ยงลูกสองคนอยู่กับผม แล้วตอนนี้ซนมาก 9 กับ 7 ขวบ ตีกันกระหน่ำ ก็ต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองด้วยเวลาเลี้ยงลูก แล้วก็พยายามให้เวลาเขา ต้องรอ ต้องอดทน เราเลี้ยงลูกเต็มตัวเลยครับ ร้อยเปอร์เซ็นต์ เต็มเวลา จริงๆ ผมว่าการเลี้ยงลูก สำคัญที่สุดคือเรื่องความอดทน ต้องใจเย็นๆ กับเขามากๆ บางทีเขาทำอะไร มันไม่ทันใจเราหรอก ต้องให้เวลาเขา”
ประกาศขายบ้าน ขายที่ เพื่อหาเงินมาใช้หนี้และหมุนในธุรกิจ
“ขายหมดเลย ขายบ้าน ขายที่ มีที่ที่ชะอำ ที่เขาใหญ่ จะขายใช้หนี้ พอดีธุรกิจที่เราทำอยู่ที่บุรีรัมย์ยังไม่ค่อยฟื้นตัวดี เลยต้องเอาทรัพย์สินที่เรามีอยู่ ไปขายเพื่อเอาเงินมาหมุนในธุรกิจ ประกาศขายหมดเลยครับตอนนี้ คือธุรกิจโรงแรมที่บุรีรัมย์ยังอยู่ แต่ร้านอาหารที่พัทยาเราปิดไปแล้ว เพราะเป็นปัญหาเรื่องของฝ่ายคุณลินดาที่คุณแม่เขาเสีย แล้วที่ดินมันอยู่ในมรดก ต้องขายแบ่งกับพี่น้อง เลยต้องจบไป”
โอดภาระตอนนี้มันทั้งหนักและเหนื่อย
“เหนื่อย ภาระเราด้วย วิกฤตด้วย พอจะดีขึ้นนิดหนึ่งก็สงครามมา นี่นั่นมา เราก็เหนื่อย ปัญหาคือเราไปทำรับจ้างอะไรต่ออะไรเต็มเวลาไม่ได้ ก็จะมีเวลาแค่ช่วงไปส่งลูกไปรับลูก 5-6 ชั่วโมง ในแต่ละวัน”
ไม่เศร้าที่ต้องตัดสินใจขาย ต้องยอมเสียสละบางอย่าง เพื่อเก็บบางอย่างเอาไว้
“เราต้องยอมสละอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะเอาอะไรบางอย่างเก็บเอาไว้ครับ ก็ต้องยอมแลกเปลี่ยน ดูว่าอันไหนคุ้มไม่คุ้ม บางอย่างสมัยก่อนมันไม่ได้เป็นภาระ แต่ปัจจุบันเริ่มเป็นแล้ว เราก็ต้องเริ่มปลดภาระออก เพื่อที่จะเดินต่อได้ ผมไม่ยึดติดอะไรเลย ผมเป็นคนง่ายๆ ติดดินมาก มีความอดทนสูง ตอนนี้รายจ่ายก็ไม่บาลานซ์ รายจ่ายเยอะกว่าเยอะ ยิ่งช่วงที่เราต้องเลี้ยงลูกเอง เราก็ต้องมีขีดจำกัดใรการรับงาน รายได้ที่เข้ามามันก็หายไปเยอะมาก ก็ต้องถ่ายเททรัพย์สินบางอย่างให้มีเงินเข้ามาซัปพอร์ตธุรกิจ แล้วก็เอามาเลี้ยงลูกด้วย ลูกสองคนกำลังโต ค่าเรียน ค่าอาหารการกิน เข้าโรงพยาบาลทีหนึ่งก็เกือบเป็นลมเหมือนกัน ทุกอย่างเรารับผิดชอบหมดเลยครับ มีคุณแม่เขาช่วยออกค่าเทอมด้วย เขาก็รับผิดชอบอยู่”
ไม่ได้รู้สึกว่ามืดแปดด้านหรือเจอทางตัน เพราะมีลูกเป็นกำลังใจ
“ไม่ๆ ผมยังมีกำลังใจที่ดีอยู่ มีลูกที่เป็นกำลังใจอยู่ ผมล้มไม่ได้ ไม่งั้นไม่รู้ว่าลูกจะอยู่ได้ยังไง ชีวิตที่อยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองอยู่แล้ว อยู่เพื่อลูก อยากดูเขาเติบโต แล้วก็ส่งเสริมให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตอนนี้ก็เริ่มกลับมารับงานแล้วนะครับ ใครจ้างไปเล่นละครยินดีนะครับ ได้ทุกช่อง รับงานเต็มตัวครับตอนนี้”
เผยธุรกิจโรงแรมที่บุรีรัมย์ ได้รับผลกระทบหนักจากสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา
“กระทบมาก จากสงครามคราวที่แล้ว ลูกค้าแคนเซิลหายไปประมาณเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ เราก็มีปัญหาหนี้สินกับแบงก์อยู่ พอเริ่มจะดีขึ้นมา มีสงครามก็โดนแคนเซิลอีกแล้ว แต่จริงๆ ที่บุรีรัมย์ มันอันตรายแค่ในเขตของชายแดน ในตัวเมืองที่เราอยู่ไม่เป็นอะไรเลย ยังใช้ชีวิตปกติมากๆ พอมีสถานการณ์แบบนี้ก็เหนื่อยขึ้นอีกนิดหนึ่ง แต่ผมสู้อยู่แล้ว ไม่เป็นไรเลย ถือว่าเรายังตื่นขึ้นมาในทุกๆ วัน สามารถยังทำอะไรได้ในแต่ละวัน หมดวันผมก็แค่ขอบคุณ ลูกยังไม่ได้อดอยากมาก หรือลำบากมาก แค่นี้ผมก็ขอบคุณแล้ว ก็หวังสถานการณ์จะคลี่คลาย อยากให้คนไทยรักกัน เลิกทะเลาะกันเถอะ ประเทศเราล้าหลัง ถดถอย บอบช้ำมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว กลับมารวมพลังกัน ทำให้เศรษฐกิจบ้านเราดีขึ้น ต่างชาติเขามองว่าเราโคตรเจ๋งเลย ข้างนอกเราสดใสมาก เขาอิจฉาเราทั้งนั้น แต่ข้างในเรามันกลับกลายเป็นเฟะกันไปเอง”
ไม่รู้จะทำยังไง ถ้าเหตุการณ์ยืดเยื้อ
“ไม่รู้จะทำยังไงเลย ถ้าสงครามยืดเยื้อ ธุรกิจที่เราทำอยู่ ก็ต้องประคับประคองให้ผ่านช่วงนี้ไปได้ แต่จะได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับการจัดการด้วยนะ โควิดนี่ผมเกือบจะสิ้นใจแล้วนะ เหลือเงินสำรองอยู่แค่ 3 เดือน โชคดีที่กลับมาทัน หายใจได้ต่ออีกนิดหนึ่ง”
เตือนอย่าใช้ชีวิตประมาท เพราะไม่มีอะไรแน่นอน
“ใช้ชีวิตอย่าประมาท อย่ามั่นใจเกินไปนัก ถ่อมใจบ้าง ใช้ชีวิตแบบธรรมดาที่สุด เผื่อโอกาสไว้ในอนาคตข้างหน้า เพราะไม่มีอะไรแน่นอนเลย”
ฝากถึงรัฐบาลต้องเด็ดขาด ให้มันจบๆ ไป
“เราเป็นคนไทย เราก็รักชาติ ถ้าจะต้องเด็ดขาดอะไร มันก็ต้องเด็ดขาดให้มันจบๆ ไปเลย ประเทศเราจะได้ไปต่อได้ อพยพมาชาวบ้านก็ลำบาก ทำมาหากินก็ยากอยู่แล้ว ต้องอพยพอีก เราก็อยากให้คนไทยอยู่ดีกินดี วอนรัฐบาลจัดการให้จบๆ ไป ใจผมนะ อย่าให้มันคาราคาซังเลย ยืดเยื้อไปแล้วเราเจ็บตัว”


