ซีรีส์ไทยสุดเข้มข้นที่สร้างปรากฏการณ์อย่าง “สาธุ” (The Believers) ในซีซัน 1 ได้นำเสนอเรื่องราวที่กล้าหาญและเสียดสีสังคมไทยอย่างตรงไปตรงมา โดยมุ่งเน้นไปที่ประเด็นของ “ธุรกิจศรัทธา” ในโลกพุทธศาสนาที่ซับซ้อน
เรื่องราวของซีซัน 1 เปิดตัวด้วยกลุ่มเพื่อนสนิท 3 คน คือ “วิน” (พีช-พชร จิราธิวัฒน์), “เดียร์” (แอลลี่-อชิรญา นิติพน) และ “เกม” (เจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ) ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบการศึกษาหรือเพิ่งเริ่มต้นชีวิตวัยทำงาน พวกเขากำลังประสบปัญหาหนี้สินก้อนโตอันเกิดจากความผิดพลาดในการลงทุนทำธุรกิจสตาร์ทอัพที่ล้มเหลว
ในขณะที่เส้นทางชีวิตกำลังมืดมน พวกเขาก็ได้ค้นพบโอกาสทางธุรกิจที่แปลกประหลาดแต่มีศักยภาพในการสร้างรายได้มหาศาล นั่นคือ “การทำธุรกิจกับวัด” และการจัดการภาพลักษณ์ของวัดเพื่อให้เกิดการระดมทุนและศรัทธาจากสาธารณชน
กลุ่มเพื่อนทั้งสามได้ใช้ความรู้และทักษะด้านการตลาด การเงิน และการสร้างแบรนด์สมัยใหม่ เข้าไปปรับใช้กับการบริหารจัดการกิจการของวัดแห่งหนึ่ง เพื่อช่วยให้วัดพ้นจากวิกฤตทางการเงิน พวกเขาเริ่มจากสิ่งเล็กน้อยไปจนถึงการสร้างแคมเปญใหญ่ที่ดึงดูดผู้คนให้เข้ามา “ทำบุญ” ผ่านกลยุทธ์ที่เฉียบคมและทันสมัย
เรื่องราวในซีซัน 1 จึงเป็นการเดินทางที่ตั้งคำถามต่อเส้นแบ่งระหว่าง “ศรัทธาบริสุทธิ์” กับ “ผลประโยชน์ทางธุรกิจ” พวกเขาต้องเผชิญกับความขัดแย้งทางศีลธรรมของตนเอง และความจริงอันน่าตกใจเบื้องหลังการทำบุญและอิทธิพลของพระสงฆ์ในสังคม
ซีรีส์เรื่องนี้ถือเป็น “กระจก” ที่สะท้อนประเด็นละเอียดอ่อนและซับซ้อนที่สุดประเด็นหนึ่งในสังคมไทย ซึ่งต้องใช้ความกล้าหาญในการตั้งคำถามต่อสังคมในแง่มุมที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนา, เงินทอง, และอำนาจ กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์ระบบและโครงสร้างที่มองไม่เห็นของวงการสงฆ์ได้อย่างถึงแก่น
การผสมผสานองค์ความรู้ด้านการตลาด, การสร้างแบรนด์, และการเงิน เข้ากับบริบททางศาสนา ทำให้บทสนทนาและการดำเนินเรื่องมีความน่าสนใจและเข้าถึงผู้ชมรุ่นใหม่ โดยเฉพาะการใช้คำศัพท์และกลยุทธ์ทางธุรกิจมาอธิบายการจัดการวัด
ขณะที่นักแสดงนำทั้งสามคน ได้แก่ พีช, แอลลี่, และเจมส์ สามารถถ่ายทอดบทบาทของคนรุ่นใหม่ที่โลภ, สับสน, และต้องต่อสู้กับจิตสำนึกของตนเองได้อย่างเป็นธรรมชาติและน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะมิติที่หลากหลายของตัวละคร
ขณะที่ในส่วนงานสร้างก็ถือว่ามีคุณภาพระดับสากล งานภาพ แสง สี และองค์ประกอบศิลป์ของซีรีส์อยู่ในระดับที่น่าประทับใจ มีความมืดหม่น แต่ก็สวยงามตามแบบฉบับของงานสร้าง Netflix ทำให้สามารถดึงดูดผู้ชมให้ติดตามเรื่องราวได้อย่างไม่เคอะเขิน
ขณะที่ “สาธุ” ซีซัน 2 ดูเหมือนจะยกระดับความเข้มข้นและความซับซ้อนของเรื่องราวขึ้นไปอีกขั้น โดยมีจุดที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการขยายจักรวาลและอำนาจที่ใหญ่ขึ้น เพราะซีซัน 2 ไม่หยุดอยู่แค่การจัดการวัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง แต่ได้ขยายขอบเขตของเรื่องราวให้ครอบคลุมไปถึง “องค์กรสงฆ์” ที่มีอิทธิพลในระดับประเทศ ตัวละครหลักถูกดึงเข้าสู่เกมการเมืองและอำนาจที่ซับซ้อนกว่าเดิม ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของวัดใหญ่และบุคคลระดับสูงในวงการศาสนา ทำให้เดิมพันและผลกระทบของธุรกิจนี้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาก
ขณะเดียวกัน ยังมีเรื่องของการเผชิญหน้าทางกฎหมายและการตรวจสอบอย่างเข้มข้น โดยมุ่งเน้นไปที่ประเด็น “กฎหมาย” และการถูกตรวจสอบจากภายนอกมากขึ้น หลังจากที่การดำเนินงานของพวกเขากลายเป็นที่จับตาของสาธารณชน จึงมีการนำเสนอตัวละครใหม่ที่เป็นผู้ตรวจสอบบัญชี หรือเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้ามาสืบสวนการทุจริตภายในวัด ทำให้เกิดความตื่นเต้นในแนว สืบสวนสอบสวนมากกว่าเดิม
นอกจากนั้น ยังมีประเด็นเรื่องของความขัดแย้งเชิงศีลธรรมที่รุนแรงขึ้น หากซีซัน 1 คือการตั้งคำถามต่อศีลธรรม ซีซัน 2 จะเป็นการดำดิ่งสู่ห้วงลึกของความมืดมิดทางจิตใจ “วิน” “เดียร์” และ “เกม” ซึ่งต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่ร้ายแรงจากการตัดสินใจในอดีต และอาจต้องทำสิ่งที่ผิดศีลธรรมมากขึ้นเพื่อเอาตัวรอดหรือรักษาอำนาจที่ได้มา เนื้อหามีการสำรวจมิติทางจิตวิทยาของตัวละครที่ชัดเจนขึ้นว่าคนหนุ่มสาวที่ขับเคลื่อนด้วยหนี้สินและโอกาส จะเดินไปได้ไกลแค่ไหนในเกมที่ไม่มีใครอยากแพ้
และที่ว้าวขึ้นไปอีกคือการแสดงของตัวละครสมทบที่โดดเด่น ด้วยการเสริมทัพนักแสดงมากฝีมือเข้ามาในบทบาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับอำนาจและกฎหมาย ซึ่งจะทำให้การปะทะกันทางความคิดและการแสดงมีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น การปรากฏตัวของตัวละครใหม่เหล่านี้นับเป็น “ตัวแปร” สำคัญที่ผลักดันให้โครงเรื่องพลิกผันไปในทิศทางที่คาดไม่ถึง
กล่าวโดยสรุป ซีซัน 2 ของ “สาธุ” ไม่ใช่แค่การดำเนินธุรกิจศรัทธาต่อไป แต่เป็นการยกระดับไปสู่เกมการเมืองและอำนาจที่ใหญ่โตกว่าเดิม พร้อมกับการปะทะกันระหว่าง “โลกสมัยใหม่” กับ “โลกของศาสนา” ในระดับที่สูงกว่าซีซันแรก ซึ่งต้องไปดูกันว่าผู้สร้างจะนำเสนอข้อสรุปของเรื่องราวที่แสนเปราะบางและท้าทายนี้ได้อย่างไร


