วานนี้ (8 ธ.ค.) ศาลฎีกาสูงสุดวินิจฉัยพิพากษา “นายกฤษณ์ ณรงค์เดช” เป็นผู้จัดการมรดก “คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช” เพียงผู้เดียว มีความเหมาะสม ได้รับความไว้วางใจ มีอำนาจหน้าที่เต็มที่ในการจัดการทรัพย์มรดกที่ได้ร่วมสร้าง และกลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เพิกถอน “นายณพ ณรงค์เดช” ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกร่วม ยุติข้อขัดแย้งมรดกหมื่นล้าน
ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาฎีกาที่ 3781/2568 ให้นายกฤษณ์ ณรงค์เดช บุตรชายคนโตของคุณหญิง พรทิพย์ ณรงค์เดช เจ้าของพินัยกรรมได้เป็นผู้จัดการมรดกแต่เพียงผู้เดียวตามเจตนารมณ์ของผู้ล่วงลับ โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายกฤษณ์ ในฐานะผู้จัดการมรดก มีความเหมาะสม สามารถจัดการมรดกตามพินัยกรรม ทั้งยังได้ความยอมรับจากบิดา น้องชาย และความไว้วางใจจากผู้ล่วงลับ
และศาลฎีกากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เพิกถอนนายณพ ณรงค์เดช ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกร่วม โดยศาลฎีกาได้วินิจฉัยด้วยเหตุผลว่า ตั้งแต่ปี 2561 นายณพ มีความคัดแย้งกับนายเกษม (บิดา) มีการฟ้องร้องกันเป็นคดีแพ่งและคดีอาญาหลายคดี ทำให้ครอบครัวเกิดความเห็นแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย และนายณพไม่ได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากบิดาและพี่น้อง ซึ่งการตั้งนายณพเป็นผู้จัดการมรดกร่วม จะทำให้เกิดความขัดแย้งหาข้อยุติได้ยาก และอาจสร้างความขัดแย้งของครอบครัวมากยิ่งขึ้น ทำให้การจัดการมรดกของผู้ล่วงลับไม่สำเร็จลุล่วง
เรื่องราวมหากาพย์มรดกหมื่นล้านนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช เสียชีวิตในปี 2556 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งนายกฤษณ์ เป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมของผู้ล่วงลับ ต่อมาปี 2563 นายณพ น้องชาย ยื่นคำร้องขอให้ถอนนายกฤษณ์ พี่ชาย จากการเป็นผู้จัดการมรดก และขอแต่งตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกแทน ซึ่งทั้งนายเกษม (บิดา) และนายกรณ์ ณรงค์เดช (น้องชาย) ได้ยื่นคัดค้านคำร้องดังกล่าว ศาลชั้นต้นพิจารณายกคำร้องของนายณพ จากนั้นนายณพได้ใช้สิทธิขออุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ตั้งนายณพเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับนายกฤษณ์ เป็นเหตุให้บิดาและน้องชายใช้สิทธิยื่นฎีกา
เกือบ 2 ปีที่ ศาลฎีกาตรวจสำนวน และได้วินิจฉัยเห็นว่า นายกฤษณ์ ณรงค์เดช มีความเหมาะสม มีความสามารถ ในการจัดการมรดกตามที่ผู้ล่วงลับแต่งตั้ง สามารถจัดการมรดกตามพินัยกรรมสำเร็จลุล่วงหลายข้อ นอกจากนี้เจ้าของพินัยกรรมมีความไว้วางใจ และเห็นแก่คุณงามความดีของนายกฤษณ์ บุตรชายคนโตที่สร้างให้กับตระกูล ตามที่มารดาผู้ล่วงลับเขียนบรรยายไว้ในพินัยกรรม และจากการตรวจสำนวนต่างๆ จึงวินิจฉัยให้นายกฤษณ์ เป็นผู้จัดการมรดกเพียงผู้เดียวดังเดิม


