“ชมพู่ อารยา” เผยวิธีรับมือเมื่อ “น้องเกล” เจอเพื่อนบูลลี่ที่โรงเรียน ลั่นไม่ต้องโอ๋ บอกนี่คือบทเรียนชีวิตจริงและภูมิคุ้มกันชั้นดีที่ลูกต้องเจอ เพราะโลกความจริงโหดร้ายยิ่งกว่านี้
เป็นคุณแม่ที่คอยดูแลลูกอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะลูกสาวอย่าง “น้องแอบิเกล” ในวันกำลังจดจำ และเข้าโรงเรียน งานนี้มีติดอะไรไม่น่ารักมาบ้างหรือไม่ “ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต” ได้เปิดใจถึงเรื่องนี้
“มันก็มีบ้าง อะไรที่ไม่น่ารัก หรืออะไรที่เราไม่สามารถทำกับคนอื่นได้ เพราะคนอื่นเขาก็เป็นลูกมีพ่อมีแม่ แล้วก็อธิบายว่าอย่าทำแบบนี้นะ ถ้าทำแบบนี้ เดี๋ยวคุณแม่จะโดนว่านะ แต่นี่มันก็คือเหตุผลที่เราต้องส่งลูกเราไปโรงเรียน เพราะเราก็ต้องให้เขาไปเจอในสังคมอื่น ที่ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้น ไม่ได้อยู่ในโลกของเราอย่างเดียว เขาจะได้รู้ว่าการให้อภัยกันเป็นยังไง หรือเวลาไปเจอเด็กคนอื่น มีเล่นกัน มีตอบโต้กัน ซึ่งอันนี้มันคือชีวิตจริง
ซึ่งเขาก็ต้องไปเจอแบบนี้บ้าง มันเป็นการเรียนรู้ของเขาเอง การเข้าสังคม มันต่างจากการอยู่บ้านยังไง เพราะในแต่ละอย่างชมดูที่บริบทเป็นที่ตั้ง เด็กยังไงก็คือเด็ก ซึ่งเขาอาจจะเล่าให้เราฟังว่า คนนี้พูดแบบนี้ใส่เขา เราก็ต้องอธิบายว่าเราไม่สามารถไปห้ามคำพูดคน มันคงเป็นไปไม่ได้ ซึ่งอันนี้มันก็เป็นภูมิคุ้มกันของเขาเอง เพราะชีวิตจริงเราไม่สามารถห้ามใครพูดได้ เพราะมันก็มีหลายคนที่เราต้องเจอ ชมคงไม่ไปบอกว่าทำไมมาบูลลี่ลูกฉัน เพราะชีวิตจริงมันยิ่งกว่านี้อีก”
เราเองก็อยากให้เขาจัดการด้วยตัวของเขาเองก่อน ซึ่งถ้าเขาไม่ชอบ เราก็แค่เดินออกมา หรือถ้ามันรู้สึกว่าเกินความควบคุม ก็เดินไปบอกครู และถึงแม้ตอนนี้โรงเรียนจะสนุก แต่ก็มาบอกว่า อยากอยู่กับแม่ อยากอยู่กับป้าเจี๊ยบมากกว่า มีต่อรอง ตื่นเช้ามาพูดเลยว่า วันนี้วันหยุด นี่ก็บอกเลยว่าไม่ใช่จ้ะ”
บอกไวรัลไม่ให้ลูกอวดรวยเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ
“คือสิ่งที่ชมพูดออกไป มันก็เป็นไปตามธรรมชาติ แค่อยากให้เขาเข้าใจว่ามันมีคนที่มีมากกว่าเราเยอะ และในขณะเดียวกัน ก็ทีคนที่ไม่ได้โชคดีเหมือนเรา อย่างเวลาที่เขาได้รับอะไร หรือบางทีคือเด็กอาจจะมีอิดออด เราก็บอกไปเลยว่าสมัยแม่ไม่ได้มีอย่างนี้นะ ตอนเด็กๆ ไอไม่ได้เรียนโรงเรียนดีๆ แบบยู ไอนั่งรถเมล์ไปโรงเรียน ไอไม่ได้นั่งรถตู้อัลพาร์ด เพราะบางทีเขาอิดออดไม่ไปซ้อมกีฬา เราก็บอกว่าเอาไหม วันหลังเดี๋ยวให้เรียกรถไปเอง ให้นั่งรถไปเอง ซึ่งการที่เราสอนเขาอย่างนี้ อย่างที่บอกไปว่าก็มีคนที่มีมากกว่าเรา แต่เราก็อยากให้เขามองว่าเราก็โชคดีแล้ว และก็ไม่ต้องไปพูดให้กับคนที่เขาไม่ได้มีเท่าเรา ให้เขารู้สึกย่ำแย่ เพราะว่ายูจะไปทำร้ายความรู้สึกคนอื่นทำไม ก็ให้ยูแฮปปี้กับสิ่งที่มี และให้รู้ไว้ว่าพ่อแม่ไม่ได้สบายแบบนี้
ถามว่าเขาเข้าใจไหม ชมว่า ถามว่าเขาเข้าใจไหม ชมว่ามันเป็นเรื่องของการจำ แต่บางเรื่องมันอาจจะต้องพูดซ้ำ ซึ่งเราไม่ใช่คนชอบพูดซ้ำ ซึ่งเด็กเขาไม่อยู่ในสถานการณ์ที่เราเคยเจอมา เราพูดไปยังไงเขาก็คงยังไม่เข้าใจ เหมือนที่เราอาจจะไม่เข้าใจว่าคนที่อยู่ในครอบครัวอีกแบบนึง เขาเป็นยังไง เพราะว่ามันไม่ใช่ประสบการณ์ตรง แต่ยังไงเราก็ต้องพูด
เรื่องสังคมใหม่ๆ เวลาเข้าไปข้างนอก ชมว่าสิ่งเหล่านี้ เราก็ต้องให้เวลาแล้วเราก็ต้องใกล้ชิดเขามาก เพราะว่าเขากลับมาบ้าน ยังไงเขาก็เป็นลูกของเรา เพราะว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่ชมให้เวลาก็คือเรื่องนี้ ก็คือเรื่องครอบครัว เรื่องถัดมาก็คือการดูแลตัวเองให้ดี เพื่อที่จะได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด เพื่อที่จะดูแลเขาได้ อยู่เป็นเพื่อนเขาไปจนในที่สุด”


