xs
xsm
sm
md
lg

“บอย ปกรณ์” เผยโพสต์ทวงเงิน 14 ล้าน ใบ้เป็นคนเบื้องหลัง ถ้าบอกธุรกิจ ต้องมีอ๋อ!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“บอย ปกรณ์” แจงโพสต์ทวงเงินในสตอรี่ไอจี เพราะความใจดีถึงขีดจำกัดแล้ว ยอดเงินประมาณ 13-14 ล้านบาท แต่เป็นการลงทุนธุรกิจ ไม่ใช่การยืมเงิน เผยอีกฝ่ายรับปาก แต่ผลัดตลอด แถมติดต่อยาก ใบ้เพิ่มไม่ใช่ดารา แต่เป็นคนเบื้องหลัง เชื่อถ้าพูดว่าเป็นธุรกิจอะไร คนคงพอรู้ หวังได้เงินคืน เพราะกระทบธุรกิจอื่นไปด้วย ล่าสุดจับเซ็นสัญญาแล้ว ถ้าจ่ายไม่ตรงอีกคงต้องถึงศาล โอดวันนี้มาถึงแล้ว “น้องวันใหม่” ไม่ยอมให้ไปไหนด้วยเหมือนแต่ก่อน

หลังออกมาโพสต์สตอรี่ไอจี ทวงเงินบุคคลปริศนาถึง 2 ครั้งในเวลาไล่กัน ก็ทำเอาชาวเน็ตแห่เดากันยกใหญ่ ว่าใครกันที่ยืมเงินหนุ่ม “บอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์” แล้วไม่คืน ล่าสุดวันนี้ (2 ธ.ค.) ได้เจอหนุ่มบอย ที่มาร่วมประกาศรางวัล “A NIGHT OF APPRECIATION GALA 2025” เจ้าตัวก็ออกมาเปิดใจถึงเรื่องนี้ เผยว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่การยืมเงิน แต่เป็นการลงทุนธุรกิจ เชื่อว่าถ้าพูดว่าเป็นธุรกิจอะไร คนก็คงพอรู้ และครั้งนี้ถือเป็นเงินก้อนใหญ่ที่สุด เพราะเป็นยอดประมาณ 13-14 ล้านบาทเลยทีเดียว

“ตลอดชีวิตผม ก็มีคนที่ติดเงินเราเรื่อยๆ แต่ผมไม่เคยอยากจะออกมาพูดผ่านสื่อเลย ไม่เคยอยากทำให้มันเป็นเรื่อง ทุกวันนี้คนที่ติดเรา ก็มีอยู่หลายเจ้า แต่ผมก็เลือกที่จะเงียบมาตลอด ถ้าไม่จำเป็นไม่อยากใช้วิธีทวงออกสื่อ เพราะเดี๋ยวคนก็จะตีความกันออกไปหลายอย่าง แต่กับเคสนี้มันประกอบด้วยหลายๆ เหตุผล อย่างแรกคือจำนวนค่อนข้างเยอะ ผ่านการติดตามกันมานาน และมีการรับปากแล้วก็ผลัด แล้วก็ตามตัวยาก พอตามได้ก็รับปาก แล้วก็ผลัด วนเป็นลูปอยู่อย่างนี้มานานหลายเดือนแล้ว จนผมรู้สึกว่าตามด้วยตัวเองไม่ได้ผล ก็เริ่มติดต่อทนาย ให้ทนายตาม ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ เลยรู้สึกว่าสุดท้ายอาจจะต้องพึ่งสื่อช่วยตามให้ทุกอย่างจบตามที่คุยกันไว้”

เผยยอดเงินประมาณ 13-14 ล้านบาท เป็นการทำธุรกิจลงทุน ไม่ใช่การยืมเงิน
“เป็นการทำธุรกิจครับ เคสนี้ไม่ใช่การยืมเงิน แต่เป็นเรื่องของการทำธุรกิจลงทุนครับ เอาจริงๆ ยอดมันประมาณ 13-14 ล้านครับ ง่ายๆ คือเป็นการลงทุน เวลาเราลงทุนทำอะไรไป พอจบงานก็จะมีการปันคืน กำไรหรือขาดทุนก็ต้องเอามาหักกับเงินต้น ซึ่งตรงที่ผมลงๆ ไป มันควรจะต้องกลับมาเมื่อ 6-7 เดือนที่แล้ว ก็เป็นการลงทุนไปในช่วง 2 ปีนี้แหละครับ”

เหมือนพยายามผลัดชำระไปเรื่อยๆ ทั้งที่คุยกันไว้แล้ว
“ตามตัวยากก็ใช่ แต่ก็ไม่ใช่ตามไม่ได้เลย ก็ติดต่อได้ แต่เหมือนว่าพอรับปากว่าจะชำระ เช่นผมบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เวลานี้ พี่ช่วยส่งมาให้ผมหน่อย ว่าพี่จะตกลงชำระผมยังไงบ้าง ด้วยเงื่อนไขอย่างนี้นะ แต่พอเขาทำมามันก็ไม่ตรงกับที่คุยกัน ก็ต้องเสียเวลานัดใหม่ คุยใหม่ พอทำแพลนมาใหม่ ก็ไม่ตรงกับที่คุยกันอีก เหมือนมันโดนผลัดไปเรื่อยๆ ความเสี่ยงในการลงทุน ผมรู้อยู่แล้ว ว่ามันมีกำไร-ขาดทุน แต่ตรงนี้มันไม่ใช่เรื่องกำไร-ขาดทุน เงินที่ผมลงทุนไป แล้วผมต้องได้คืนมา แต่มันไม่ได้คืน ใช้คำว่าเงินต้นกับเงินปันผลก็ได้ครับ”

บอกไม่ใช่คนใจร้ายไส้ระกำ แต่ทุกอย่างมันมีขีดจำกัด
“ผมทวงมาหลายเดือน คนเคยทำธุรกิจด้วยกัน ผมก็ไม่ใช่คนใจร้ายไส้ระกำอยู่แล้ว ความจริงถ้ามันเลยกำหนด ผมสามารถใช้กฎหมายได้เลย แต่ผมก็ปล่อยให้มันล่วงเลยมา ด้วยการที่เขารับปากอย่างโน้นอย่างนี้ จนผมรู้สึกว่าหลายเดือนแล้ว ก็ยังมีการผลัดเรื่อยๆ จนใช้วิธีทางทนายแล้ว ก็ยังผลัดเรื่อยๆ อีก เลยต้องออกมาพูด ผมอะลุ่มอล่วย หยวนให้เขา ช่วยเหลือเขา แต่ทุกอย่างมันมีขีดจำกัดของมัน”

เป็นฝ่ายติดต่อไปก่อนทั้ง 2 ครั้ง ก่อนจะโพสต์ทวงผ่านสตอรี่ไอจี
“ผมโพสต์ 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ตอนกลางคืน เพราะความจริงผมมีนัดเพื่อเซ็นเอกสารกับเขา แต่ก็ไม่ได้เซ็น ผมเลยโพสต์ไปอย่างนั้น เขาก็ไม่รับสายผมตั้งแต่วันศุกร์ เสาร์อาทิตย์ก็ไม่อยากตาม เห็นว่าเป็นวันหยุด เป็นวันครอบครัว ซึ่งความจริงแล้วการตามเงินมันไม่มีวันหยุด พอมาเมื่อวานวันจันทร์ เขาก็ยังไม่โทร.มา ผมเลยโทร.ไป ก็ตามตัวกันอยู่สักพักหนึ่ง ก็ได้คุยกัน จนเหมือนว่าจะโอเค แต่สุดท้ายพอผมพิมพ์ข้อตกลงเข้าไปในไลน์ เพื่อเป็นหลักฐานว่าคุยกันแล้วนะเป็นแบบนี้ รบกวนช่วยรับทราบให้ผมหน่อย เขาก็ไม่รับทราบให้ ผมรอครึ่งชั่วโมง แล้วก็พิมพ์ไปอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ตอบ เลยรู้สึกว่าโอเค ถ้าตามในนี้ไม่ได้ ก็ขอตามในสตอรี่ก็แล้วกัน

อีกฝ่ายขอผ่อนชำระเป็นระยะเวลานาน ซึ่งคิดว่าจากเวลาที่ให้ไป ก็ใจดีมากแล้ว
เขาขอผ่อนชำระแหละครับ ในระยะเวลาที่ก็นานพอสมควร แต่ผมว่าระยะเวลาที่ผมให้ ก็ใจดีมาก

เผยเป็นการลงทุนร่วมกับน้องชาย “หน่อง ธนา” แต่เงินที่ลงทั้งหมดเป็นของตัวเองคนเดียว
การลงทุนครั้งนี้ ก็เป็นผมกับหน่องครับ แต่คุณหน่องไม่ค่อยเสียหายอะไร เพราะเงินลงทุนทั้งหมดเป็นเงินของผมเอง ก็คือเวลาหน่องลงทุนอะไรพวกนี้ ผมทำกับหน่อง ถ้ากำไรเดี๋ยวแบ่งครึ่ง ถ้าขาดทุนก็ขาดทุนคนละครึ่ง แต่ผมเป็นคนออกเงิน เอาง่ายๆ คือผมเป็นนายทุนให้ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดไม่ได้เงินคืน คือผมโดนเอง”

ใบ้เพิ่มไม่ใช่ดารานักแสดง แต่เป็นคนเบื้องหลัง
“เขาไม่ใช่ดารา ไม่ใช่นักแสดงครับ แต่เขาก็ทำงานในวงการบันเทิง ในส่วนของเบื้องหลัง ล่าสุดผมคุยกับเขาเมื่อคืน ก็ได้ข้อตกลงที่ไฟนอลแล้ว ผมจะนัดเจอเขาวันพฤหัสบดีนี้ พร้อมกับทนาย เพื่อให้ทำหนังสือเซ็นยินยอม ว่าเขาจะชำระผมอย่างนี้ๆ จนถึงเมื่อไหร่ ผมก็หวังว่ามันจะไม่มีการผลัด หรือว่ามีอะไรมากกว่านี้แล้ว เพราะทุกอย่างมีขีดจำกัด ถ้ามันถึงจุดหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าผมไม่สามารถขยับให้เขาได้แล้ว ก็คงต้องไปทางศาล

หวังจะได้เงินคืน เพราะไม่อยากให้เรื่องไปถึงศาล
“ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง ไม่อยากอวยว่าตัวเองใจดี แต่เราเป็นอย่างนี้มาตลอดมั้ง เช่นเวลาที่มีคนเขาต้องจ่ายเงินเรา แต่เขามาบอกว่าเขาไม่มีจริงๆ แล้วเวลาติดต่อไป เขาก็ยังไม่ได้หายไปไหน เราก็เข้าใจเขาประมาณหนึ่ง แต่เขาก็ต้องเข้าใจเราประมาณหนึ่งเหมือนกัน เช่นเงินก้อนนี้ ที่ผมยังไม่ได้เงินวนกลับมา ในระยะที่มันควรจะกลับมา ผมก็เสียหายกับธุรกิจอื่นไปแล้ว ก็หวังว่าจะได้เงินคืนครับ ไม่ได้อยากที่จะให้ไปถึงกระบวนการทางศาล แต่ถ้ามันจำเป็นจริงๆ ก็คงต้องไปทางนั้น”

ครั้งนี้น่าจะเป็นเงินก้อนใหญ่สุด
“ก็น่าจะใหญ่สุด แต่ถามว่าที่ผ่านมา มีคนที่เป็นหนี้เราหลักล้านไหม ก็มี ตอนนี้ก็มี ซึ่งผมก็ไม่อยากพูด เพราะเขาก็สามารถติดต่อได้ และเขาก็ดูมีความพยายาม”

ปกติเป็นคนระวังเรื่องการใช้เงินมาก เคสนี้ตอนแรกก็มั่นใจ แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่อง
“ผมเป็นคนย้ำคิดย้ำทำอยู่แล้ว โคตรระมัดระวังเลยเรื่องการใช้เงิน คิดถี่ถ้วน ไตร่ตรองให้ดี หาคอนเนกชั่นว่าคนนี้ไว้ใจได้ไหม เกือบจะเป็นเพอร์เฟกต์ชั่นนิสต์ในเรื่องพวกนี้เหมือนกัน ระวังตัวมากที่สุด แล้วเคสนี้ในตอนแรกผมก็มั่นใจ ว่ามันไม่น่าจะเกิดอะไรแบบนี้ได้ เพราะเขาก็ดูมีความน่าเชื่อถือมาก สุดท้ายอะไรก็เกิดขึ้นได้ ทุกการลงทุนมีความเสี่ยงหมด”

บอกถ้าพูดชื่อธุรกิจ คนคงพอรู้ว่าเป็นใคร
“เรื่องเปิดเผยมันก็เป็นเรื่องของทางกฎหมายด้วย ก็ไม่รู้ว่ามันได้มากน้อยแค่ไหน แต่ความจริงถ้าผมพูดว่าเป็นธุรกิจอะไร คนก็คงพอรู้แหละ แต่คือผมก็บอกเขาไป ว่าถ้าเซ็นข้อตกลงแล้ว ผมขอให้มันตรงตามเวลาและข้อกำหนด เพราะมันถึงจุดที่ว่าถ้าคุณผิดชำระผมแค่งวดเดียว ผมก็ขออนุญาตทำตามกฎหมายทางศาลเลย เพราะผมยื่นคำขาดกับเขาไปหลายครั้งแล้วครับ แต่มันคงไม่ศักดิ์สิทธิ์มั้ง หรือเขาอาจจะเห็นว่าผมใจดี ก็เลยพยายามผลัดมาเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ต้องทำทุกอย่างให้เด็ดขาดจริงๆ แล้ว”

โพสต์ไอจีเรื่อง “วันใหม่” ไม่ให้ไปดูหนังด้วย โอดวันนี้มาถึงแล้ว น้องโตขึ้น เริ่มมีสังคมของตัวเอง
ที่ผมลงไปดูเหมือนตลก แต่จริงๆ แว็บแรกคือรู้สึกอกหัก คงเป็นความรู้สึกที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนเคยรู้สึก เพราะปกติเราอยู่กับเขามาตลอด คือวันใหม่ก็เริ่มโตขึ้นแหละ แต่แต่ก่อนถ้าชวนไปกินข้าว ไปดูหนัง ก็จะจูงมือไปๆ แต่ปีสองปีที่ผ่านมาก็เริ่มมีบ้าง ที่เขาบอกว่าอยากอยู่บ้าน อันนี้เราเข้าใจว่าตามวัย แต่ล่าสุดมันคือมีเหตุการณ์ที่ผมนัดกับเฟย์ (พรปวีณ์ นีระสิงห์) ไว้ ว่าจะไปดูหนัง ก็คิดว่าจะชวนวันใหม่ไปด้วย ผมก็โทร.หาว่าวันใหม่ พรุ่งนี้ไปไหนเนี่ย เขาก็บอกว่าหนูมีนัดไปดูหนังกับเพื่อนที่โรงเรียน ผมก็พูดตามปกติเลย คือถ้าเป็นแบบนี้ ปกตินางจะไม่ค่อยปฏิเสธ เวลานางไปกับเพื่อนแล้วถ้าเราบอกว่าเดี๋ยวเฮียไปด้วย ไปเลี้ยงข้าว เลี้ยงหนัง นางก็จะไปๆ

แต่รอบนี้นางพูดว่าอยากไปกับเพื่อน วันของเพื่อน ผมก็เลยบอกว่าแล้วเฮียไปด้วยไม่ได้เหรอ นางก็บอกว่ามันต้องแค่เพื่อน เราก็ขำๆ นะ แต่ตอนนั้นเดินซื้อของอยู่ ความรู้สึกแรกคือวูบเหมือนกัน แบบไม่ให้ไปแล้วเหรอ แต่รู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งมันต้องมาถึง ก็เข้าใจ ตอนเด็กๆ เราก็เคย อันนั้นคือดอกที่หนึ่ง แต่มีอีกดอกหนึ่ง คือวันต่อมา ผมเห็นว่านางว่าง เลยบอกว่างั้นพรุ่งนี้ไปไอ้นี้กัน นางบอกว่าไม่ได้ นางมีนัดกับรุ่นพี่ผู้หญิงของนาง ก็แกล้งแหย่ว่าไปด้วยได้ไหม นางก็บอกว่า It’s girls day 

สามพี่น้องเราก็มีคุยกัน ทุกคนรู้ว่าวันนี้ต้องมาถึง เราเลี้ยงน้องในแบบฉบับของบ้านเรา ในแบบที่แม่ปลูกฝังมาตลอด แต่เราก็ต้องปรับให้กับสถานการณ์ ตามยุค ตามวัยของน้องด้วย แต่ก็ต้องมีการกินข้าวด้วยกัน วันไหนครบ 4 ไป 4 ได้ 3 ไป 3 ได้ 2 ก็ไป 2 เหมือนเดิมที่เคยเป็น ยังต้องมีกิจกรรมของครอบครัวอยู่ครับ”













กำลังโหลดความคิดเห็น