สร้างความเดือดดาลให้แก่แฟนคลับคนรัก “เจฟ ซาเตอร์” ทันที หลังจากที่ถูก “เต๋า ทีวีพูล” ด้อยค่าว่าเป็น “นักร้องพื้นบ้าน” ไม่คู่ควรขึ้นร้องเพลงเวทีประกวด มิสยูนิเวิร์ส 2025 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในปีนี้ ไม่ว่าจะด้วยอคติส่วนตัว หรือเพราะมีปัญหากับ “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล” เจ้าภาพจัดประกวดฯ ซึ่งไม้เบื่อไม้เมากันมาก่อน
คำดังกล่าวคนพูดอาจพูดไปด้วยความสะใจ แต่อาจสร้างบาดแผลในใจให้นักร้องดังอย่าง “เจฟ วรกมล ซาเตอร์” ศิลปินหนุ่มลูกเสี้ยวไทย-จีน-อังกฤษ ผู้ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักหน่วงกว่าจะก้าวมายืนถึงจุดนี้ หากจิตใจเขาไม่สตรองพอ
10 ปีแห่งการค้นหาตัวตนและจังหวะชีวิต
กว่าเจฟจะมาถึงจุดที่ถูกยกให้เป็น “พระเจ้าเจฟ” และประสบความสำเร็จในระดับอินเตอร์ เส้นทางของเขากลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องใช้เวลากว่า 10 ปี ในการค้นหา “จังหวะชีวิตที่ใช่”
เจฟ ซาเตอร์ เข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ด้วยการออดิชั่นและเข้าร่วมโปรเจกต์ต่างๆ กับค่ายเพลงหลายแห่ง โดยมีแนวเพลงที่เป็นเอกลักษณ์ผสมผสานระหว่าง R&B, Pop, และ Rock ในปี 2556 เริ่มต้นอาชีพนักร้องกับค่าย Kamikaze ในเครือ RS Group เป็นศิลปินที่มีผลงานเพลงออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการร้องเพลงประกอบละคร/ซีรีส์ และซิงเกิ้ลของตัวเองภายใต้ค่ายเพลงต่างๆ ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษ เขาได้สั่งสมประสบการณ์อย่างหนักหน่วง มีผลงานเพลงที่คนรู้จัก แต่ในบางครั้งก็เป็นที่รู้จักแค่เพลง ไม่ใช่ตัวศิลปิน
เส้นทางนี้สอนให้เจฟเข้าใจถึงความสำคัญของ “ความพยายาม” และ “การเป็นตัวของตัวเอง” ที่จะนำไปสู่ “โอกาส” เจฟยอมขายกีตาร์ตัวโปรด 20,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการทำเพลง ไม่ยอมเอ่ยปากขอเงินกับที่บ้าน จนกว่าจะหาเส้นทางนักดนตรีสายอาชีพที่ตัวเองรักและค้นเจอ เพราะเจฟมีความเชื่อในความฝันและรักในเส้นทางของดนตรี
จุดเปลี่ยนสู่ความสำเร็จระดับโลก
จากตำนานนักร้องที่ไปอยู่ค่ายไหนค่ายนั้นก็ยุบ สู่จุดเปลี่ยนพลิกชีวิต ชื่อของ เจฟ ซาเตอร์ ถูกกล่าวถึงและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในระดับโลกคือบทบาท “คิม” ในซีรีส์ “KinnPorsche The Series” (2022) การรับบทบาทเป็น “คิม” น้องชายพระเอกในซีรีส์วายแนวมาเฟียเรื่องนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ด้วยเสน่ห์ทางการแสดงและเพลงประกอบซีรีส์อย่างเพลง "Why Don’t You Stay" ที่เจฟได้ร้องและมีส่วนร่วม ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในกลุ่มแฟนคลับซีรีส์วายทั่วโลก
เพลง “ลืมไปแล้วว่าลืมยังไง” เป็นซิงเกิลภายใต้ค่าย Warner Music Thailand/Wayfer Record ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยแนวเพลงและสไตล์ที่ชัดเจน ทำให้เพลงนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ทั้งในและต่างประเทศ ยอดวิวเกิน 239 ล้าน
เจฟไม่พยายามเหมือนใคร เขากล้าที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่ผสมผสานดนตรี แฟชั่น และทัศนคติเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เขามีภาพลักษณ์ที่โดดเด่นและเป็นที่จดจำ
โชว์ศักยภาพเหนือพรมแดน
เจฟ ซาเตอร์ ได้เข้าร่วมรายการเรียลลิตี้ในรายการ Call Me by Fire Season 3 เป็นอีกก้าวสำคัญที่ทำให้ชื่อของเจฟ กลายเป็นที่รักของแฟนๆ ในแดนมังกร ตลอดการแข่งขัน เจฟได้สร้างสรรค์ผลงานและโชว์ที่แสดงความสามารถอันหลากหลายจนได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งเพื่อนร่วมทีมและผู้ชมชาวจีนอย่างล้นหลาม เจฟนำทักษะการร้องที่แข็งแกร่ง, การเล่นดนตรี, และเสน่ห์เฉพาะตัวมาใช้ในการแสดง โดยเฉพาะการนำเพลงฮิตของตัวเองอย่าง “ลืมไปแล้วว่าลืมยังไง” มาร้องในเวอร์ชันภาษาจีน
นอกจากนี้เจฟได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถรอบด้าน ทั้งการร้อง, การเต้น, การแรป, รวมถึงโชว์โซโล่กีตาร์ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ เจฟได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนร่วมทีมให้เป็นกัปตัน ในหลายรอบการแข่งขัน และยังได้รับรางวัล MVP (Most Valuable Player) รวมทั้งคว้า 2 รางวัลใหญ่มาครอง คือ The Hot Song Performance of The Year 2023 และ Singing Family
ชัยชนะและผลงานที่น่าประทับใจในรายการ Call Me by Fire Season 3 ไม่เพียงแต่เป็นการพิสูจน์ความสามารถของเจฟเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดประตูให้เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในตลาดบันเทิงจีนอย่างกว้างขวาง เจฟก้าวข้ามพรมแดน นำเสนอผลงานคุณภาพสู่สายตาชาวโลก และมีโอกาสเป็น 1 ในเมนเทอร์ของรายการ CHUANG ASIA THAILAND 2024 อีกด้วย
โด่งดังในต่างแดน และก้าวสู่ระดับอินเตอร์
ความสำเร็จของเจฟไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศไทย แต่ขยายวงกว้างไปทั่วโลก พิสูจน์ได้จาก World Tour เจฟประหลาดใจที่เห็นแฟนๆ ต่างชาติสามารถร้องเพลงไทยของเขาได้อย่างชัดเจนและเสียงดังลั่น
หลายเพลงของเจฟดังไกลระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นเพลง ลืมไปแล้วว่าลืมยังไง , แค่เธอ Why Don’t You Stay เพลงประกอบซีรีส์ “KinnPorsche The Series” ซีรีส์ที่ได้รับความนิยมระดับโลก, แค่เงา (Silhouette), Dum Dum, เหมือนวิวาห์ (ประกอบภาพยนตร์วิมานหนาม) ทุกเพลงโดดเด่นในเรื่องของการผสมผสานแนวเพลงตะวันตกเข้ากับความเป็นไทยได้อย่างลงตัว พร้อมทั้งการใช้เสียงร้องที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จและเข้าถึงใจแฟนเพลงได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษเสมอไป
นอกจากนี้เจฟยังได้ร่วมงานกับศิลปินชื่อดังระดับโลก เช่น การทำเพลง “Steal The Show” ร่วมกับ SHAUN (ชอน) ศิลปินเกาหลีชื่อดัง เป็น Brand Ambassador ระดับโลก อย่างคาร์เทียร์ , Valentino ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงอิทธิพลและสถานะแฟชั่นไอคอนระดับโลกจากการนำเสนอแฟชั่นที่ไม่จำกัดเพศ การปรากฏตัวแต่ละครั้งมักจะกลายเป็นไวรัลและถูกจับตามองจากสื่อแฟชั่นทั่วโลก
เจฟเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติอย่างกว้างขวาง มีแฟนคลับจำนวนมากทั่วโลก ความนิยมของเจฟแพร่กระจายไปไกลกว่าภูมิภาคเอเชีย โดยมีรายงานว่า สหรัฐอเมริกา เป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของเจฟ และตลาดใน เยอรมนี, บราซิล, และเม็กซิโก ก็ติดอันดับตลาดสำคัญของเขาด้วย
เจฟเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตระดับนานาชาติอย่างยิ่งใหญ่ภายใต้ชื่อ “Red Giant Tour” ในปี 2025 โดยมีการแสดงที่บัตรขายหมด (SOLD OUT) ในเมืองใหญ่หลายแห่งใน ละตินอเมริกา เช่น เซาเปาโล (บราซิล) และเม็กซิโกซิตี นอกจากนี้ยังมีทัวร์ในเอเชียที่ครอบคลุมเมืองต่างๆ เช่น จาการ์ตา, ฮ่องกง, สิงคโปร์, ไทเป และกัวลาลัมเปอร์
เจฟ ซาเตอร์ คือตัวอย่างของศิลปินที่ใช้เวลาและความพยายามกว่าสิบปีในการค้นพบสิ่งที่ใช่ และเมื่อโอกาสมาถึง เขาก็พร้อมคว้ามันไว้ด้วยความสามารถที่สั่งสมมาอย่างเต็มที่ การเป็นที่ยอมรับในต่างแดนไม่ใช่แค่เรื่องของโชค แต่เป็นผลลัพธ์ของ “พรสวรรค์” และ ความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ของศิลปินคนนี้อย่างแท้จริง
วันนี้ เจฟ ซาเตอร์ จึงไม่ใช่นักร้องที่ดังแค่ในเอเชีย แต่เขากลายเป็น “ศิลปินไทยระดับอินเตอร์” ที่มีผลงานเพลงติดชาร์ต มีการทัวร์คอนเสิร์ตที่บัตรขายหมดในต่างทวีป และได้รับการยอมรับจากแบรนด์แฟชั่นชั้นนำของโลก
แล้วแบบนี้จะเรียกว่าเป็นแค่ “นักร้องพื้นบ้าน” เหมือนที่ “เต๋า ทีวีพูล” ค่อนแคะใส่กี่โมง?


