"เล็ก ฝันเด่น" รวมกลุ่มจิตอาสาแจกน้ำ ขนมให้ประชาชนที่มาร่วมส่งเสด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง บอกเรียนรู้มาตั้งแต่ครั้งในหลวงรัชกาลที่๙ ว่าต้องทำอะไรบ้างไม่หวั่นแม้คนจะมองว่าตนโหนกระแสพระมหากษัตริย์ แต่เพราะตนเห็นพระกรณียกิจมาตั้งแต่เด็กว่าทุกพระองค์ทรงทำอะไรมาบ้าง ขอเป็นจิตอาสาต่อไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ
มาเป็นจิตอาสาแจกน้ำ แจกขนมให้กับประชาชนที่มาร่วมส่งเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ บริเวณท้องสนามหลวง สำหรับนักร้องยุค 90 "เล็ก ฝันเด่น จรรยาธนากร" ซึ่งเจ้าตัวก็ได้เปิดใจว่าดีใจที่เห็นคนไทยมารวมตัว รวมใจกันขนาดนี้ และมาร่วมกันเป็นจิตอาสา แม้ว่าจะมีการรบรากันยังไง แต่พอถึงเวลากระทบกระเทือนจิตใจของส่วนรวม ทุกคนก็จะมารวมตัวกันเสมอ
“จริงๆ แล้วภารกิจของเราในกลุ่มอาสาสมัคร ใจถึงใจคนไทยไม่ทิ้งกัน ก็รับทราบข่าวตั้งแต่เมื่อวานช่วงหัวรุ่งเลย ก็เลยรวมตัวกันและประชุมกันว่าเราจะทำยังไงเพื่อเป็นการดูแลประชาชนของพระองค์ท่าน เมื่อวานตอนบ่ายสองเราก็ไปแจกน้ำแล้วก็ขนมนมเนยที่โรงพยาบาลจุฬาฯ จนถึงประมาณเกือบสามทุ่มกว่า แล้วหลังจากนั้นเราก็สรรหาในเรื่องของน้ำดื่มต่างๆ เอามา พอดีได้ประสานกับทางกองทัพภาคที่1 ด้วยว่าเราเคยปฏิบัติภารกิจร่วมกันที่ชายแดนที่อรัญฯ ก็เลยขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงริมถนนตรงนี้ในการจัดบูธน้ำต่างๆ ขนม แล้วก็มีน้องอาสาสมัครที่มาจากต่างจังหวัดมาช่วยดูแลในเรื่องของการแพทย์เบื้องต้น เช่น ถ้ามีผู้เฒ่าผู้แก่ปวดหัวเวียนหัวเป็นลม เราเรียนรู้ประสบการณ์จากงานเมื่อ 9 ปีที่แล้วของในหลวงรัชกาลที่ 9 เราจะรู้ว่าจริงๆ แล้วในบริบทที่เกิดขึ้นในฐานะจิตอาสาจะทำอะไรได้บ้างที่เข้าถึงตัวประชาชนได้อย่างฉับไวรวดเร็ว"
"คือจริงๆ แล้วในกลุ่มของผมไม่ได้เป็นมูลนิธิ แต่เป็นกลุ่มคนที่มารวม ฉะนั้นน้ำดื่มต่างๆ ก็จะเป็นประชาชนขนมาให้ แต่ผมมีส่วนหนึ่งที่ระดมช่วยกันเองในกลุ่ม ซื้อมาก่อน 100 แพ็ค แล้วหลังจากนั้นพอเราไลฟ์สดเมื่อคืนตอนมาตั้งบูธ ใครอยากบริจาคน้ำดื่มก็ไม่ต้องโอนเงินมา แต่มาหาร้านที่คุณรู้จักแล้วให้เขามาส่ง ก็เท่ากับว่าเมื่อคืนผมมีประมาณ 350 แพคได้ ตอนนี้กลายเป็นประมาณ 800 แพคแล้ว ยังไม่รวมขนม และเมื่อกี้อยู่ดีๆ ก็มีน้ำผลไม้มาอีก ทั้งหมดทั้งมวลเป็นแรงที่เกิดจากศรัทธาและความรักที่มีต่อพระองค์ท่าน ทุกคนก็อาจจะมีหน้าที่ที่แตกต่างกัน ฉะนั้นในเมื่อกลุ่มผมมาอยู่ตรงจุดนี้ก็เป็นการฝากกันมาแจกให้กับประชาชน ฉะนั้นผมมีหน้าที่แค่ดูแลสิ่งของที่ทุกคนช่วยมาและจัดสรรแจกให้เป็นระเบียบ ที่สำคัญคือเราจะเน้นมากเรื่องความสะอาด เพราะการที่มีมวลชนมาเยอะ อาหารที่เราจะแจกส่วนมากที่ผมทำในสภาวะแบบนี้จะไม่ค่อยเป็นอาหารกล่องมากเท่าไหร่นัก เพราะเรากลัวมากเลยว่าอากาศมันร้อน กลัวบูด กลัวเสีย แล้วถ้าท้องเสียมันจะมีปัญหา ฉะนั้นก็จะเน้นในเรื่องของอาหารที่เป็นแพ็คเกจที่ทำมาแล้ว อย่างน้อยก็เป็นมาตรฐานขั้นพื้นฐานของคนที่กินได้และถูกปากแน่นอนครับ“
บอกตอนช่วงพระราชพิธีของในหลวงรัชกาลที่๙ ตนกับเพื่อนจิตอาสาก็อยู่ตลอด
”ถามว่าสิ่งที่ยังต้องการในการมาครั้งนี้ยังขาดอะไรบ้าง จริงๆ แล้วเยอะมากในการฝากถามอะไรพวกนี้มา แต่ต้องบอกว่างานนี้อย่างที่เราทราบกันดี งานพระราชพิธีจะกินเวลาระยะประมาณหนึ่งปี แต่ในห้วงแต่ละเดือนแต่ละวาระจะมีความสำคัญของวันต่างๆ อันนี้ประชาชนก็จะต้องติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด ซึ่งถ้าย้อนไปตอนงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ผมอยู่ตลอดยาวเลยจนครบ อย่างงานนี้เราก็จะวางโครงสร้างหลังจากนี้ว่าที่ตั้งของเราอยู่ตรงไหน และจะบริการประชาชนในรูปไหนได้บ้าง ขนม ยาดม ผ้าเย็น อะไรพวกนี้ หรือการช่วยเหลือในเรื่องของการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง"
"บางทีคนเฒ่าคนแก่มาจากต่างจังหวัด จริงๆ มีอาสาอยู่ทั่วไปหมดเลย แต่ว่าน้องๆ อาสาของผมจะมาจากต่างจังหวัดเยอะ ฉะนั้นเขาจะส่งกำลังในการผลัดเปลี่ยนมาดูแลประชาชน ในฐานะที่ผมเป็นพี่ของน้องๆ ที่เคยฝึกกัน เมื่อเขารู้ว่าผมอยู่จุดนี้เขาจะโทรบอกว่าผมจะเข้าพื้นที่อยู่ได้ 4 วันนะ แต่เราไม่มีที่นอนไม่มีอะไรให้ เรามีฐานและมีตัวแทนในการรายงานเข้าไปกับหน่วยว่าตอนนี้เรามีกำลังคนอยู่เท่าไหร่ มาจากหน่วยไหน คือเปรียบเสมือนว่าให้อาสาที่ต่างถิ่นเข้ามามีคนคอยดูแลอยู่ในเมืองกรุง"
"ความน่ารักของคนไทยที่มาเป็นจิตอาสา สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราเห็นมายาวนานแล้ว แต่รูปธรรมที่เห็นอย่างชัดเจนก็ย้อนกลับถึงงานในหลวง ทั้งมอเตอร์ไซค์ บางคนรถส่วนตัว แม้กระทั่งบางคนรวมตัวกันเพื่อจะมาแจกของ ผมว่าเป็นความรู้สึกที่นี่คือคนไทย จะรบราฆ่าฟันด่าทอกันยังไงก็แล้วแต่ เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นกระทบกระเทือนต่อจิตใจของส่วนรวมจะมารวมกัน”
ไม่เคยมาทำตรงนี้เพื่อโหนกระแส แต่ทำเพราะรักและเคารพจริงๆ
“อันนี้คือส่วนหนึ่งที่ทุกคนน่าจะทราบในใจกันดีว่ามันเป็นอะไรที่เป็นความรู้สึกที่อยู่ในใจเสมอ และบางครั้งอธิบายเป็นคำพูดมันยากมาก แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะรู้อยู่เสมอว่าการแสดงออกของคนในปัจจุบันนี้อาจจะไม่เหมือนกัน โดยสภาวะหลายอย่างเราก็จะไม่ว่ากัน ซึ่งวันนี้บางคนอาจจะบอกว่าคนเบาบาง แต่ว่าโซเชียลเทคโนโลยีการสื่อสารมันมากแล้ว ฉะนั้นบางคนไม่ใช่ไม่มาแล้วไม่รักนะถูกไหม มันมีบริบทที่แตกต่างกัน บางคนผมเจอว่ารักมาก ร้องไห้ แต่ไม่ยอมไปไหนเลย เพราะเขากลัวทำใจไม่ได้ เราอย่าไปตัดสินแทนกัน เราต้องยอมรับและเข้าใจ"
"ถ้าคิดในแบบอคติหนึ่งมันจะมีอีกมุมนึง แต่ถ้าคิดในมุมของคนที่เป็นผู้ที่แสดงออกซึ่งความรักมาโดยตลอดก็จะเป็นอีกมุมหนึ่ง ฉะนั้นการที่ผมมายืนอยู่ตรงจุดนี้ในหลายงานหลายสภาวะ บางคนบอกว่าโหนหรือเปล่า ตั้งแต่ผมคลานจนแบเบาะ ผมเห็นสิ่งที่เรียกว่าพระราชกรณียกิจ ถ้าเป็นศัพท์ของคนก็คือการทำงาน การทำงานหรือผลออกมามันทำให้เรารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าการกระทำอย่างจริงใจ คนเราโกหกใครก็โกหกได้แต่โกหกตัวเองว่าอยากจะทำมันได้แป๊บเดียวจริงๆ ไม่มีใครที่จะโกหกตั้งแต่เริ่มจนตัวเองสูญสิ้นไป"
"กับคอมเมนต์อคติเราก็ไม่ได้รู้สึก ทุกคนอยู่ในโลกประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิ์จะพูดจะคิดอะไรก็แล้วแต่ ใส่ความรู้สึกของตัวเองไปให้ได้เยอะที่สุด เพราะว่ามันเป็นจุดที่คุณสามารถแสดงออกได้อยู่แล้ว ฉะนั้นเมื่อมองมาในจุดของผม ผมก็มีสิทธิ์ที่จะแสดงออกอย่างชัดเจน ฉะนั้นเมื่อคุณชัดเจนผมก็ชัดเจน เมื่อความชัดเจนต่างคนต่างชัดเจนก็ไม่เห็นมีอะไรที่จะต้องมาบอกว่าฉันชัดเจนกว่าคุณ คุณชัดเจนกว่าฉัน ในเมื่อเรียกร้องว่าทุกคนเท่ากัน แล้วทำไมความไม่เท่ากันถึงอยู่ที่ปากของคน พอเห็นผมรักในหลวง รักพระราชินี รักระบบกษัตริย์มาก กลายเป็นมาชี้หน้าว่าเราไม่ดี แล้วผมก็ชี้กลับไปว่าคุณไม่ดี แต่ผมไม่เลือกที่จะชี้ คนมาคอมเม้นต์ก็บล็อกก็ลบไป มันไม่มีประโยชน์ เพราะว่าตราบใดที่สิ่งที่เราทำอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายโดยรวม ผมไม่ได้ทำผิดกฎหมายในการที่จะรักสถาบัน รักชาติ คลั่งชาติ เพราะฉะนั้นผมอยู่ตรงนี้ผมก็จะทำสุดแรงกำลังที่ผมจะช่วยเหลือประชาชนให้ได้มากที่สุด”
จะขอเป็นจิตอาสาต่อไปจนหมดลมหายใจ
“อย่างที่บอกว่าด้วยโลโก้ของผม ใจถึงใจคนไทยไม่ทิ้งกัน เลข9 หัวใจมันถูกออกแบบมาจากสิ่งที่เราได้เห็น เราได้สัมผัสได้รู้สึก มันไม่ได้ออกมาเพราะเอไอ มันไม่ใช่มันถูกออกแบบมาจากการเขียนด้วยกระดาษปากกาจนมาเป็นรูปนี้ แล้วก็กว่าจะมาเป็นรูปนี้ผมดำเนินภารกิจมา 13 ปีก่อนที่จะมามีรูปแบบนี้ ฉะนั้นมันมีโครงสร้างของความรู้สึกในการก่อสร้างรูปแบบของการเป็นอาสาของพระราชา ฉะนั้นแฮชแท็กอาสาของพระราชา อาสาของพระราชินี หรืออาสาของแผ่นดิน มันเป็นคำที่เป็นวาทะกรรมที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองโหนเจ้า ไม่ใช่ เพราะว่าผมจะไม่สวมชุดมาสคอตเพื่อบอกว่าตัวเองแข็งแกร่ง ผมจะเป็นคนตัวผอมๆ อย่างที่ผมเป็นนี่แหละ"
"ผมจะไม่ทำอะไรที่โกหกตัวเอง เพราะเรารู้ว่าเวลาที่น้ำตาไหลออกมาโดยที่โดนคนชี้หน้าว่าโกหกมันไม่คุ้มค่า ฉะนั้นถ้าเกิดเราชัดเจน ถ้าวันที่ผมตายผมก็ยังชัดเจนอยู่นะ คนก็ว่ากันไปทุกคนมีสิทธิ์ สิทธิ์ใครสิทธิ์มันอย่าทำร้ายกันด้วยคำว่าสิทธิ์กูเหนือกว่าผู้อื่น มันไม่มีอะไรดีไปกว่าสิ่งที่เราเป็น ฉะนั้นรักใครรักมัน ไม่ชอบก็ไม่ต้องมอง ต่างคนต่างอยู่ ในเมื่อเราเป็นอย่างนี้เราก็ยังเป็นอาสาต่อไปด้วย มีมากให้มาก มีน้อยให้น้อย มีกำลังใจก็ให้ บางทีหมดแล้วแรงก็ไม่เหลือ แต่ก็ยังมีคำว่า สู้นะ“
เคยชีวิตเป๋ไปตอนสิ้นในหลวงรัชกาลที่๙
”คนเรามีแรงยึดเหนี่ยวมาโดยตลอด อาสาของพระราชา ทำอะไรมีคำพ่อสอน เราเรียนรู้การกระทำจากที่พระองค์ท่านทำให้เห็น แล้วไปทำรายการก็ได้ไปเจอคนที่เขียนจดหมายฉบับแรกถึงในหลวง ได้นั่งคุยกับเขา ได้เจอกับหลายๆ คน ซึ่งมันฝังใจมาก ถ้าเกิดเราเรียนรู้แค่ภาพที่เห็นจากรูปถ่ายอาจจะอีกฟีลหนึ่งด้วย แต่เผอิญเราได้ยินเพราะเราไปทำรายการประโยชน์สุขของแผ่นดิน ชาวบ้านเขาจะมาโกหกผมทำไม แล้วไม่ใช่แค่คนเดียว ความเจริญไม่ได้เกิดแค่คนนั้นๆ ที่อยู่ในรูปของพระองค์ท่านนะ ในอนาคตบริเวณนั้นธนาคารมะนาวนู่นนี่ ในเมื่อคุณบอกว่าคุณมีสติ มีสมอง ผมก็มี ฉะนั้นการไตร่ตรองเกิดจากการเห็น การฟัง ไม่ใช่แค่หูตามัว เลยทำให้เราเห็นว่าของจริงเป็นยังไง"
"วันที่เป๋เลยวันนั้นคือวันที่ 13 ตุลาคม ก่อนหน้านั้นประมาณ 4 วันมีข่าวสะพัดมาตลอด ผมทำโครงการนึงก็คือหาเงินเอาไปมอบให้ช้างที่กุยบุรี ระหว่างทางกลับมาข่าวเริ่มไม่ค่อยดี ผมมานั่งรออยู่หน้าวังไกลกังวลตอน 5 โมง คนก็เริ่มมา แต่พอประกาศจากสำนักพระราชวัง เหมือนเราจุดเทียนแล้วเหลือแค่ตรงปลาย แล้วอยู่ดีๆ เหมือนมีคนเดินมาเป่า มันหมดเลย แล้วเราจะทำเพื่อใครต่อ เราช่วยคนเพราะว่าพ่อบอกว่าอยู่กับเรา ไม่มีอะไรนอกจากความสุขร่วมกัน คิดแบบสามัญชนคนธรรมดาไม่มีพ่อจะทำให้ใคร เป็นอย่างนั้นเลย เป๋เลย แทบจะหยุดโครงการไปเลย ผมเป๋ไปพักนึง ที่บ้านถามว่าทำไมไม่ไป ก็บอกว่าเดี๋ยวขอดูก่อน มันหมดเลย แต่พอพักนึงมีคำว่าเสียใจได้แต่อย่าละทิ้งหน้าที่ อันนั้นทำให้ฟื้นกลับมาใหม่"
"ผมไม่ใช่ทหาร ผมอาจจะเป็นแค่ทหารเกณฑ์ คำปฏิญาณที่เกิดขึ้นมันยังฝังอยู่คือสัจจะทางคำพูด ฉะนั้นผมปฏิญาณตนไปแล้วว่าจะดูแลประชาชนของพระองค์เท่าที่ผมจะทำได้ ถ้าเกิดผมจะกลืนน้ำลายผมทำไม่ได้ ฉะนั้นผมจะเลิกทำก็ต่อเมื่อลมหายใจที่มีอยู่มันหมดไป มันไม่มีร่างกายที่จะไปช่วยคนได้แล้ว ก็จะเหลือแค่จิตวิญญาณที่ล่องลอย แต่จะไม่ให้จิตวิญญาณสุดท้ายบอกว่ารู้งี้ทำอย่างนั้นดีกว่า มันไม่คุ้มกับคำปฏิญาณ เราจะทำให้มันศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยตัวของเราเอง“
พระพันปีหลวงจะทรงเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทยตลอดไป
”พระองค์ท่านทำหลากหลายมากในพระราชกรณียกิจ ไม่ว่าจะเป็นผ้าไหม โครงการน้ำหรืออะไร แต่ผมมองภาพรวมทั้งหมด สิ่งหนึ่งก็คือรอยยิ้มของในหลวงคือพระราชินี ฉะนั้นในหลวงมีแรงเพราะพระราชินี เมื่อรักพ่อก็ต้องรักแม่ถูกไหม เพราะพ่อยังต้องพลังมีจากแม่เลย อันนี้คือภาพรวมที่ทำให้เรารู้สึกว่าพระราชกรณียกิจคือส่วนประกอบที่พระองค์ท่านทำ แต่ในความลึกซึ้งต่อคำพูดที่ในหลวงท่านตรัสไว้ว่ารอยยิ้มของฉันคือพระราชินี มันมีค่ามาก มันเป็นคำที่ท่านกลั่นกรองมาแล้ว แสดงว่าพระราชินีมีความสำคัญมาก"
"เราไม่รู้หรอกว่าโครงการพระราชดำริมากมายที่บอกว่าเป็นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้า บางทีพระราชินีอาจจะมีมุมมองละเอียดอ่อนของผู้หญิงก็ได้ เราไม่รู้ในเบื้องลึก แต่ผมมองว่าต้องมี แต่เหนือยิ่งสิ่งใดโครงการพระราชดำริเกิดขึ้นได้จากพลังใจ ในหลวงได้พลังจากใคร ได้จากพระราชินี จากพสกนิกร ฉะนั้นอันนี้คือคำตอบที่ผมให้ได้จากใจที่รู้สึกมาโดยตลอด“


